KS FUND TOP PICK 19 - 23 พ.ค. 2025


KS FUND TOP PICK 19 - 23 พ.ค. 2025
Trade Deal ดีหนุนหุ้นโลกขึ้นต่อ แต่ KS มองตลาดเริ่มมี Upside จำกัด แนะทยอยเข้าตราสารหนี้โลกกระจายความเสี่ยง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Nasdaq ที่กลับเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง (Bull market) หลังปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2025 เกิน 20% นอกจากนี้ยังมีตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty 50) และ ไต้หวัน (TWSE) ที่ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี ปัจจัยบวกหลักร่วมกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ พัฒนาการด้านการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในช่วงต้นสัปดาห์ออกมาดีกว่าที่คาด โดยทั้งสองฝ่ายตกลงลดภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้กันเป็นเวลา 90 วัน โดยสหรัฐฯ ลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจาก 145% เหลือ 30% ขณะที่จีนจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% พร้อมเดินหน้าเจรจาต่อเนื่องเพื่อหาทางออกถาวร นอกจากนี้จีนยังประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ไปยังสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน รวมถึงยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินในประเทศรับมอบเครื่องบิน Boeing ทางด้านสหรัฐฯ เองก็ได้ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ต่อพัสดุ (de minimis) จากเดิม 120% เหลือ 54% โดยยังคงค่าธรรมเนียมคงที่ 100 ดอลลาร์ต่อพัสดุ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจอย่างอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย. ที่ชะลอตัวลงเหลือ 2.3% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.4% และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ช่วยลดความกังวล Stagflation ลง
นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนเข้ามาในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หลังทรัมป์เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียและประกาศข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI มูลค่ามหาศาล โดย Nvidia จะจัดส่งชิป AI Blackwell รุ่นล่าสุดจำนวน 18,000 ชิ้นให้กับบริษัท Humain ของซาอุดีอาระเบีย เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ และยังมีแผนขยายการส่งมอบชิปเป็น “หลายแสน” ชิ้นในอนาคต ขณะที่ AMD อยู่ระหว่างเจรจาขายชิปให้ซาอุฯ ด้วยเช่นกัน ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน 600,000 ล้านดอลลาร์ของซาอุฯ ทำให้หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวขึ้นแรงทั่วโลก ทางด้านตลาดหุ้นจีนในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเล็กน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากแรงหนุนของผลประกอบการหุ้นใหญ่ภาพรวมออกมาค่อนข้างดีทั้ง Tencent, JD.com และ NetEase ต่างมีรายได้และกำไรมากกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ตามเทคใหญ่ที่เป็นตัวความหวังอย่าง Alibaba มีผลประกอบการที่ทำให้ตลาดผิดหวังจากการที่กำไรธุรกิจ Cloud แม้จะเติบโต 69% YoY แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ในสัปดาห์นี้ให้ติดตามความคืบหน้าภาษีนำเข้าหลังทรัมป์ประกาศว่าส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีนำเข้าให้แต่ละประเทศภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าโดยไม่ผ่านการเจรจา แต่ยังเดินหน้าเจรจากับ 10 ประเทศสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามเราประเมินตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจฟื้นตัวต่อได้ค่อนข้างยากเนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยบวกทั้งจากผลประกอบการ 1Q25 ที่ดีกว่าคาดมาก และข้อตกลงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่น่าจะเป็นข้อตกลงที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามการที่นักวิเคราะห์ยังไม่ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ 2Q25 เป็นต้นไป แม้ว่าสงครามการค้าจะผ่อนคลาย ทำให้ดัชนี S&P 500 ซื้อขายที่ระดับ Valuation ที่ค่อนข้างแพง ทำให้เราประเมิน Upside ในปัจจุบันของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างจำกัด โดยในสัปดาห์นี้ตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ จะค่อนข้างเบาบาง ตลาดน่าจะจับตาไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนอย่างยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
สำหรับผลประกอบการหุ้นสำคัญในสัปดาห์นี้ แนะนำให้ติดตามงบของหุ้นในกลุ่มค้าปลีกสหรัฐฯ อย่าง Home Depot, Lowe’s, Target, TJX และ Ross Store ในขณะที่หุ้นจีนให้ติดตาม Trip.com, BiliBili, Baidu, Lenovo, Pinduoduo, Xpeng และ Li Auto ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างรอตลาดหุ้นโลกปรับฐานอีกครั้ง เราแนะนำให้ทยอยลงทุน Core Portfolio ที่เป็นตราสารหนี้โลกผ่านกองทุน UGISFX-N ที่ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก บริหารแบบเชิงรุกโดยผู้จัดการกองทุนปรับเปลี่ยนอายุตราสารตามภาวะตลาด ในยามที่ 10Y UST อยู่ใกล้เคียงระดับ 4.5% และค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับแข็งค่าค่อนข้างมากในตอนนี้ อาจพิจารณาเป็น Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายอย่าง Hedging cost ทั้งนี้ แม้ว่า Moody’s จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลง 1 ขั้น จาก Aaa สู่ Aa1 จากการขาดดุลทางการคลังต่อเนื่อง, ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เร่งตัว และความล่าช้าในการผ่านร่างงบประมาณ แต่เรามองว่าตลาดได้รู้ปัจจัยนี้ไปก่อนหน้าแล้ว ทำให้เราประเมินการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield จะเป็นไปอย่างจำกัด
Implication
Buy lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix ทรงตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัวเลข GDP 1Q25 (รายงานครั้งแรก) ออกมาที่ -0.7% ซึ่งหลักๆ แล้วเป็นผลมาจากการนำเข้าที่สูงจนทำให้ส่งออกสุทธิเป็นลบ ในขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าค่าจ้างที่แท้จริง (Real Wage) เพิ่มขึ้น 1% ภายในปี 2029 ภายใต้เงื่อนไขเงินเฟ้อที่ 2% นับเป็นเป้าหมายทางการครั้งแรกด้านค่าจ้าง ซึ่งจะช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศ ด้านผลประกอบการแบงค์ใหญ่ MUFG, SMFG และ Mizuho ต่างปิดปีงบประมาณ 2025 ด้วยกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ไตรมาสสุดท้ายจะมีกำไรต่ำกว่าคาด แต่เนื่องจากธนาคารบรรลุเป้าหมายกำไรตั้งแต่พ้น 3 ไตรมาสแรกของปี ทำให้ไตรมาสสุดท้าย จึงเน้นไปที่การบริหารงบดุล ปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุน และตั้งสำรองเผื่อเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยทั้ง 3 ธนาคารยังตั้งเป้ากำไรในปีงบประมาณ 2026 ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง
สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขส่งออก, PMI และอัตราเงินเฟ้อทั่วประเทศ เรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF ETF โดยหุ้นการเงินปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรับ Sentiment เชิงบวกทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง Recession / Stagflation ที่ลดลง จากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ออกมาดี นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อยังออกมาต่ำกว่าคาดและชะลอตัวลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยหุ้น Visa และ Mastercard ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับกลุ่มการเงินสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ให้ติดตาม PMIและการแถลงของกรรมการเฟด เราคงคำแนะนำซื้อเมื่อ XLF ETF ปรับตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
KT-CHINA-A: กองทุนหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Blackrock BGF China Fund ซึ่งลงทุนหุ้นจีน All China โดยปัจจุบันเน้นการลงทุนใน H-Shares ราว 60% และ A-Shares ราว 20% โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น จากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่มีการลดภาษีให้กันในอัตรา 115% เป็นเวลา 90 วัน นอกจากนี้จีนยังผ่อนคลายการควบคุมการส่งออก Rare Earth ในขณะที่สหรัฐฯ เองก็ผ่อนคลายภาษีนำเข้าพัสดุ (de minimis) จาก 120% เหลือ 54% นอกจากนี้ผลประกอบการหุ้นเทคฯ ใหญ่โดยรวมออกมาค่อนข้างดี ทั้ง Tencent, JD.com และ NetEase ต่างมีรายได้และกำไรมากกว่าตลาดคาด แม้ว่า Alibaba จะมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดก็ตาม
สำหรับจีน สัปดาห์นี้ให้ติดตาม ราคาบ้าน, ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, การลงทุนสินทรัพย์ถาวร, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนผลประกอบการของ Trip.com, Baidu, Lenovo, PDD และ Xpeng เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับกรอบการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า โดยให้ทยอยลงทุนเมื่อดัชนี MSCI China ย่อตัวลง
Holding lists
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
KT-INDIA-A: กองทุนหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Invesco India Equity เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากหลังอินเดีย และปากีสถานตกลงที่จะหยุดยิงทำให้สงครามคลี่คลายลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย. ชะลอตัวเหลือ 3.16% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ปลายปี 2019 หนุนให้ RBI ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม รวมถึงการที่รัฐอนุมัติให้ Foxconn ร่วมทุนกับ HCL ในการสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์
เราแนะนำให้ Let profit run หลังจากดัชนี Nifty 50 ยังยืนเหนือ 24,000 จุด โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 25,200 จุด
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
PRINCIPAL VNEQ-A: กองทุนหุ้นเวียดนาม ลงทุนโดยตรงในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามหรือมีธุรกิจหลักในเวียดนามและ ETF โดย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2025 กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินมากที่สุดในพอร์ตราว 38% ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องขึ้นเหนือ 1,300 จุด จากการที่สหรัฐฯ และจีน บรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้าซึ่งช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดสงครามการค้าลง อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงมาก ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตจะมีความผันผวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เราจึงแนะนำให้ทยอยขายหลังดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นเหนือ 1,300 จุด
K-APB-A(A): กองทุนตราสารหนี้เอเชีย ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lombard Odier Asia Value Bond เน้นลงทุนในตราสารหนี้เอเชียระดับ Investment Grade ราว 60% และ High Yield ราว 40% ณ วันที่ 30 เม.ย. 2025 มีสัดส่วนการลงทุนในอินเดีย 21.5%, จีน 12.5%, ฮ่องกง 10.2% และญี่ปุ่น 8.6% โดยมี Portfolio duration ที่ 5.44 ปี และมี Yield to maturity ที่ 8.03% จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายภาษี ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้เอเชียมีความเสี่ยงสูงขึ้น จาก Sentiment ที่อาจทำให้ Credit Spread ปรับตัวขึ้น
เราจึงแนะนำให้ทยอยขายหลังจากกองทุนฟื้นตัวขึ้นมาตาม Sentiment ที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต