Mutual Fund

KS FUND TOP PICK 1 - 5 ก.ย. 2025

หุ้นเทคฯ ส่อแววปรับฐาน หลัง Alibaba เตรียมผลิตชิปใช้เอง จับตางบ Broadcom ช่วยเปลี่ยน Sentiment พร้อมติดตามตัวเลขตลาดแรงงานชุดสุดท้ายก่อนการประชุม FOMC

KT-CHINA-A ปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take profit)

• ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง โดยได้แรงหนุนต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ Powell ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในการประชุม Jackson Hole ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดในหลายประเด็น ได้แก่

CB Consumer Confidence ที่ 97.4 เทียบกับคาดการณ์ที่ 96.2 คำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ไม่รวมเครื่องบิน 1.1% MoM สูงกว่าที่คาด 0.2% บ่งชี้ว่าการลงทุนของภาคธุรกิจยังแข็งแกร่ง และตัวเลข GDP 2Q25 รายงานครั้งที่สองออกมาที่เติบโต 3.3% QoQ เป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการรายงานครั้งแรกที่ 3.1% โดยหลักมาจากการปรับเพิ่มการบริโภคจาก 1.4% เป็น 1.6% และการปรับเพิ่มการลงทุนในทรัพย์สินไม่มีตัวตนจาก 6.4% เป็น 12.8% สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนใน Software และ R&D ที่เติบโตสูง แม้ในระหว่างสัปดาห์จะมีประเด็นกดดันเข้ามาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามปลดกรรมการเฟด Lisa Cook ในข้อกล่าวหาทุจริตสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งสร้างความกังวลว่าธนาคารกลางกำลังถูกรัฐบาลแทรกแซง

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ในช่วง 4 วันทำการแรกของสัปดาห์จะปรับตัวขึ้นทั้ง 3 ดัชนีหลัก โดยดัชนี S&P 500 ปิดเหนือระดับ 6,500 ได้เป็นครั้งแรก ขณะที่ Nasdaq Composite และ Dow Jones ต่างก็สามารถทำ All Time High ได้อีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยมหภาคตามข้างต้น และผลประกอบการหุ้นสำคัญอย่าง Nvidia ที่ออกมาดีกว่าคาดทั้งรายได้และกำไร จากการที่ลูกค้าเร่งลงทุนใน Reasoning/Agentic AI โดย Blackwell เติบโต 17% QoQ อีกทั้ง Blackwell Ultra ได้เข้าสู่การผลิตเต็มกำลังแล้ว และเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าสัปดาห์ละ 1,000 racks และจะเร่งตัวขึ้นใน 3Q25 ทำให้ Nvidia ให้ Guidance รายได้ใน 3Q25 ที่ราว $54 พันล้าน สูงกว่าคาด เพิ่มขึ้น 16% QoQ

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Nvidia ไม่ได้ตอบสนองเชิงบวกมากนักจากรายได้ Data Center ในไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดไปเล็กน้อยจากการโดนข้อจำกัดการส่งชิปไปจีน แต่ก็สามารถสร้าง Sentiment เชิงบวกให้หุ้นในกลุ่ม AI-related ปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเทคฯ สหรัฐฯ เผชิญแรงขายในวันศุกร์จนลงมาปิด Flat หลัง Alibaba ประกาศพัฒนาชิป AI หวังทดแทนชิปของ Nvidia โดยย้ำว่าชิปใหม่นี้สามารถทำงานร่วมกับ Software ของ Nvidia ได้ จากที่ก่อนหน้านี้ Huawei ได้พยายามแล้ว แต่ยังไม่สามารถรองรับ Ecosystem เดิมที่บริษัทจีนคุ้นชินกับ Nvidia

• ขณะที่ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ เคลื่อนไหวแตกต่างกันตามปัจจัยเฉพาะตัว โดยตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแรงจากความกังวลด้านการเมืองในฝรั่งเศส หลังจากนายกรัฐมนตรียื่นญัตติขอความไว้วางใจในวันที่ 8 กันยายน ในขณะที่ฝ่ายค้านเกือบทุกขั้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะโหวตคว่ำมติในครั้งนี้ จึงเกิดแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ส่วนตลาดหุ้นจีนแสดงความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน โดยดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากแรงหนุนหุ้นในกลุ่ม Semiconductors ที่ทางการหนุนให้บริษัทในจีนใช้ชิปที่ผลิตในจีน และผลประกอบการของ Cambricon ที่มีกำไรโต 44 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ในทางตรงกันข้าม ดัชนี HSCEI ปรับตัวลงจากผลประกอบการที่ไม่ดีของ Meituan จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ Food Delivery จนทำให้ Operating Margin ลดลงจาก 12% ในไตรมาสก่อนหน้าเหลือ 0.25%

อย่างไรก็ตามผลประกอบการของ Alibaba ที่มีรายได้และกำไรจาก Cloud ดีกว่าคาดส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นราว 13% ที่ตลาดนิวยอร์ก อาจช่วยให้ HSCEI รีบาวด์ขึ้นได้ในวันจันทร์นี้ ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลงหลังภาษีนำเข้า 50% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเริ่มมีผลบังคับใช้ ก่อนที่จะรายงาน GDP 2Q25 เติบโต 7.8% YoY มากกว่าคาดที่ 6.4%

• ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญจะกลับมาที่ Macro อีกครั้ง โดยให้ติดตามตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ อย่าง JOLTs, Unemployment Rate และ Nonfarm Payrolls ที่เดือนก่อนหน้าลดลงไปมากจนเกิดแรงขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรายงานนี้จะเป็นชุดสุดท้ายก่อนการประชุม FOMC ช่วงกลางเดือนหลังการประชุม Jackson Hole นั้นพบว่าสมาชิกเฟดส่วนมากเริ่มออกมาส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเลข ISM Manufacturing และ Services นอกจากนี้ให้ติดตามตัวเลข PMI ของทั้งยุโรป ญี่ปุ่น และจีน, อัตราเงินเฟ้อยุโรปที่คาดว่าอาจมีการเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย, Fed Beige Book และการเติบโตของค่าจ้างในญี่ปุ่น สำหรับผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ตัวสำคัญจะอยู่ที่ Broadcom หุ้นเซมิคอนดักเตอร์อันดับสองของสหรัฐฯ, Zscaler, Hewlett Packard, Credo, Figma และ Lululemon

• เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลกอาจมีความผันผวนสูงขึ้นจากการกลับมาของตัวเลขเชิงมหภาคที่ตลาดสามารถตีความได้ทั้งสองด้าน กล่าวคือ หากดีเกินไปอาจสร้างความกังวลว่าเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่หากอ่อนแอเกินไปจะสร้างความกังวลเศรษฐกิจอ่อนแอ จึงมองตลาดอาจมีการพักฐานสลับแกว่งตัวขึ้นอย่างช้าๆ

โดยเรายังคงแนะนำทยอยลงทุนใน K-GSELECTU-A(A) เป็น Core Portfolio จากผลประกอบการ 2Q25 ที่ดีมากของหุ้นสหรัฐฯ โดย 81% มีกำไรมากกว่าคาดโดยเฉลี่ยที่ 7.7% (Earnings Surprise) และมีกำไรเติบโต 12.4% ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรของบริษัทใน S&P 500 ขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งหุ้น Nvidia ที่เป็น Proxy ของ AI แม้ผลประกอบการอาจมีตำหนิ แต่ Guidance สะท้อนผลประกอบการหุ้นในกลุ่มนี้ยังคงเติบโตสูงต่อไปในไตรมาสหน้า

ขณะที่เรามองประเด็นกดดันจาก Alibaba ที่จะผลิตชิปแทน Nvidia นั้นส่งผลกระทบเพียงแค่ Sentiment เท่านั้น เนื่องจากชิปของ Alibaba ออกแบบให้รองรับงาน Inferencing แต่ยังขาดความสามารถด้าน training model ขนาดใหญ่ที่ Nvidia ครองตลาดอยู่ จึงแนะนำใช้จังหวะที่หุ้นปรับตัวลงทั้งจากปัจจัยมหภาคที่มีความไม่แน่นอนสูง และ Sentiment เชิงลบที่แทบไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในการทยอยเข้าลงทุน

พร้อมเสริมด้วย Satellite Portfolio ระยะ 12 เดือนในธีมหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผ่านกองทุน KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services ที่ผลประกอบการบ่งชี้ว่ามีแนวโน้มจะดีต่อเนื่อง ด้านตราสารหนี้ แนะนำทยอยลงทุนกองทุน UGISFX-N เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ในกรอบ 4.25-4.50% และจากค่าบาทที่แข็งค่ามากเกินไป เรายังแนะนำเลือก Unhedged Class สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เพื่อลดต้นทุน Hedge

สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน แนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาทในระดับที่ยังแข็งค่ามาก โดยแนะนำทยอยสะสมในกรอบ 32-33.5 บาท/ดอลลาร์ ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์ และมีเป้าหมายกำไรที่ 35 บาท/ดอลลาร์

Implication

Sell lists

• KT-CHINA-A: จากผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีจีนใน 2Q25 ค่อนข้างผสมผสาน แตกต่างจากช่วงต้นปีที่ดีเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม E-Commerce ที่แม้จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่การแข่งขันสูงในธุรกิจ Food Delivery และ Instant Commerce ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีอัตรากำไร (Margin) ลดลงอย่างมาก อีกทั้งหุ้นเทคฯ ใหญ่ตัวอื่นก็มีความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะทรงตัวจนกว่าจะถึงปลายปี อีกทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคาร Big 5 อย่าง Industrial and Commercial Bank of China (ICBC), China Construction Bank (CCB), Agricultural Bank of China (ABC), Bank of China (BOC) และ Bank of Communications (BoCom) ล้วนมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จากแรงกดดันการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว, พฤติกรรมผู้กู้เปลี่ยน, และหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสินเชื่อผู้บริโภค

เมื่อพิจารณาผลประกอบการและคุณภาพกำไรโดยรวม เทียบกับระดับ Valuation ของทั้ง CSI 300 และ HSCEI ที่ขึ้นมาเหนือ +1SD ของ Forward PER ย้อนหลัง 5 ปี เรามองว่าหุ้นจีนมี Upside ที่จำกัด จึงปรับมุมมองหุ้นจีนจาก Slightly Overweight ลงมาเป็น Neutral และแนะนำขายทำกำไร (Take Profit)

Buy lists

Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

• KKP TECH-UH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) เคลื่อนไหวผันผวนสูงโดยมีการปรับตัวขึ้นแรงหลัง Nvidia รายงานงบออกมาดี ที่ถึงแม้ตัว Nvidia เองอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้น แต่หุ้นในกลุ่ม AI ล้วนปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม หุ้น AI สหรัฐฯ กลับมาเผชิญแรงขายหนักในวันศุกร์หลัง Alibaba ประกาศผลิตชิปเอง ทดแทนการใช้ชิปของ Nvidia

• สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ติดตามผลประกอบการของ Broadcom หุ้นเซมิคอนดักเตอร์อันดับสองของสหรัฐฯ ที่อาจมาเป็นตัวกำหนด Sentiment หุ้นในกลุ่มนี้อีกครั้ง โดยเราคงคำแนะนำซื้อ โดยเฉพาะเมื่อ IGM (ETF) มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

• K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix ยังคงพักฐานเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นโลก โดยอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวชะลอตัวลงเหลือ 2.5% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ Berkshire Hathaway รายงานการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Mitsubishi Corp เป็น 10.23% จาก 9.74% ในเดือนมีนาคม ขณะเดียวกันก็เพิ่มสัดส่วนใน Mitsui & Co แม้จะยังไม่ถึง 10%

• สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการเติบโตของค่าจ้าง และ PMI โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)

• ONE-FFI: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 4 เดือน 24 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 4.08% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

• เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD

Holding lists

Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

• TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำระดับ All time high ต่อเนื่อง โดยหุ้นในกลุ่มอย่าง JPMorgan, Bank of America, Goldman Sachs และ Morgan Stanley ปรับตัวขึ้นทำ All time high ด้วยเช่นกัน โดย Narrative ยังเป็นเรื่องการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยที่ Jackson Hole และการที่ Bessent รายงานว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน มีการประกาศ M&A มูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม เกือบ 300 พันล้านดอลลาร์

• เราแนะนำ Let profit run และให้ติดตามตัวเลข Macro อย่างเช่น ตลาดแรงงาน และ ISM เป็นสำคัญ