KS FUND TOP PICK 4 - 6 มิ.ย. 2025


KS FUND TOP PICK 4 - 6 มิ.ย. 2025
Time to Fixed Income หลังหุ้นโลก Valuation ตึงตัว สงครามการค้ากลับมาไม่แน่นอน
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวนำโดยตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed market) ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป รับข่าวบวกจากความตึงเครียดด้านสงครามการค้าที่ผ่อนคลาย หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ภาษีกับสหภาพยุโรปออกไปเป็นวันที่ 9 ก.ค. 2025 และศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับการใช้ Reciprocal tariffs ชั่วคราวเนื่องจากเกินขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มปรับฐานและลดช่วงบวกในช่วงปลายสัปดาห์ หลังศาลอุทธรณ์กลับคำสั่งเดิมและคืนอำนาจให้ทรัมป์สามารถจัดเก็บภาษีระหว่างที่รอคำตัดสินในวันที่ 9 มิ.ย. 2025 โดยทีมงานของทรัมป์ได้เตรียมมาตรการเพิ่มเติมที่เปิดช่องให้ประธานาธิบดียังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าได้ ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อสหรัฐฯ ขยายการควบคุมเซมิคอนดักเตอร์ที่ส่งไปจีน ไปยังซอฟต์แวร์ออกแบบชิป รวมถึงการเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีน และ Scott Bessent เผยว่าการเจรจาการค้ากับจีนมีการติดขัดตั้งแต่ที่กรุงเจนีวา โดยทรัมป์ยังกล่าวหาจีนละเมิดข้อตกลงโดยเฉพาะการควบคุมการส่งออกแร่สำคัญ ในด้านตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging market) ภาพรวมยังคง Underperform และอยู่ในแดนลบ ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่โดดเด่นจากการที่ธนาคารกลางปรับลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ 2.50% พร้อมกระแสความหวังต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและการลดปัญหา Korea Discount หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี 3 มิ.ย. 2025 โดยอดีตผู้นำฝ่ายค้าน อี แจ-มยอง ที่ได้รับความนิยมสูงราว 49% มีนโยบายผลักดันธรรมาภิบาลและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้
ด้านผลประกอบการของบริษัทใน S&P 500 ที่รายงานไปแล้ว 98% ของทั้งหมด สรุปมีกำไรมากกว่าที่ตลาดคาด (Earnings Surprise) ราว 7.6% และมีกำไรเติบโตราว 12.5% ซึ่งนับเป็นผลงานที่แข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ผลประกอบการของหุ้นสำคัญปิดท้ายอย่าง Nvidia ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี สามารถสร้างรายได้ 44 พันล้านดอลลาร์ เป็นสถิติสูงสุดของบริษัทและกำไรมากกว่าตลาดคาด หนุนโดยยอดขายของ Blackwell ที่มีสัดส่วนรายได้เกือบ 70% ของรายได้ส่วน Data center ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากชิปรุ่นเก่าอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดการส่งชิปรุ่นรอง (H20) ไปจีนซึ่งทำให้บริษัทต้องสูญเสียรายได้ในไตรมาสถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้คำแนะนำ (Guidance) รายได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้งในระยะยาวอาจต้องสูญเสียยอดขายในจีนร่วม 50 พันล้านดอลลาร์ โดยบริษัทกล่าวยังไม่มีแผนรองรับปัญหาในขณะนี้ เพราะไม่สามารถปรับลดสเปกให้ต่ำกว่ารุ่นปัจจุบันได้แล้ว ถึงแม้ภาพรวมของผลประกอบการบริษัทใน S&P 500 รวมถึงงบของ Nvidia ที่มาปิดจบ ทำได้ดี แต่ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่รออยู่ในช่วงที่เหลือของปี ทำให้เรายังไม่เห็นการปรับประมาณการกำไรในช่วงที่เหลือของปีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงประเมินดัชนี S&P 500 ที่ระดับ 5,800 – 6,000 จุด น่าจะรับปัจจัยบวกไปทั้งหมดแล้ว
ในสัปดาห์นี้ เรายังคงมุมมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะปรับฐาน หลังสิ้นสุดช่วงรายงานผลประกอบการ โดยตลาดจะกลับมาให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI), จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับ (Job Openings) และการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payroll) ซึ่งตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ความผันผวนอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งตามพัฒนาการของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% มีผลวันที่ 4 มิ.ย. ขณะที่การเข้ามามีบทบาทของศาลสหรัฐฯ ในกระบวนการดังกล่าว อาจทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ล่าช้าและเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัจจัยลบที่อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนอีกครั้ง
เราแนะนำทยอยลงทุนใน Core Portfolio ผ่านกองทุน UGISFX-N ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลกและบริหารแบบเชิงรุก โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนอายุตราสารตามภาวะตลาด ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ใกล้ระดับ 4.5% และค่าเงินบาทยังแข็งค่าค่อนข้างมาก การเลือกลงทุนใน Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายจาก Hedging Cost จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/THB อยู่ต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
Implication
Initiate buy (4 June 2025)
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
ONE-FFI: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 6 เดือน 25 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.89% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD
Buy lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix ปรับตัวขึ้นพลิกทำผลตอบแทนเป็นบวกนับตั้งแต่ต้นปี 2025 จากสงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง หลังทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีสหภาพยุโรป และการที่ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ระงับคำสั่ง Reciprocal tariffs แม้จะถูกศาลอุทธร์คืนอำนาจให้ในเวลาต่อมา ด้านปัจจัยในประเทศ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในกรุงโตเกียวเพิ่มขึ้น 3.6% สูงสุดในรอบกว่า 2 ปี จากราคาอาหารโดยเฉพาะข่าวที่พุ่ง 93.2% โดยรัฐบาลเตรียมลดราคาข้าวสำรองลงครึ่งหนึ่งเพื่อบรรเทาผลกระทบ
สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข Manufacturing และ Services PMI, การเติบโตของค่าจ้างที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น และการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี จากการที่ญี่ปุ่นมีโอกาสบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ระหว่างการประชุมสุดยอด G7 เรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF ETF แม้จะปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการที่ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าสหภาพยุโรป แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวเริ่มเป็นลักษณะออกข้าง (Sideways) หลังมีปัจจัยลบเข้ามาจากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่มีรายงานจาก Scott Bessent ว่าเริ่มติดขัดหลังจีนล่าช้าในการส่งออก Rare Earth แต่เรายังคงมุมมองเชิงบวก จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงสะท้อนผ่าน Core PCE ที่ทำระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี รวมถึงการที่ทำเนียมขาวเตรียมผ่อนคลายกฎระเบียบในการลดเงินทุนสำรองจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องการปล่อยสินเชื่อ การจ่ายเงินปันผลหรือซื้อหุ้นคืนซึ่งช่วยเพิ่ม ROE และรายได้ที่มากขึ้นจากการเข้าลงทุนในพันธบัตร
สำหรับกลุ่มการเงินสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข ISM Manufacturing และ Services, ตัวเลขตลาดแรงงานอย่าง JOLTs และ Nonfarm payrolls เราคงคำแนะนำซื้อเมื่อ XLF ETF มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
KT-CHINA-A: กองทุนหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Blackrock BGF China Fund ซึ่งลงทุนหุ้นจีน All China โดยปัจจุบันเน้นการลงทุนใน H-Shares ราว 60% และ A-Shares ราว 20% โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงจากความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ กลับมารุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนในสาขาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง, จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิป, Scott Bessent กล่าวว่าการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงัก สำหรับปัจจัยภายใน รัฐบาลเพิ่มการควบคุมการแข่งขันในภาคอีคอมเมิร์ซ ขณะเดียวกัน BYD ประกาศลดราคา EVs สูงสุดถึง 34% อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกที่เข้ามา คือ ทางการก็ได้ประกาศจัดสรรงบประมาณ 5 แสนล้านหยวน เพื่อเร่งการลงทุนใน AI, Digital Economy และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค และ DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ DeepSeek-R1-0528 ที่มีความสามารถใกล้เคียงโมเดลชั้นนำอย่าง OpenAI's o3 และ Google's Gemini 2.5 Pro
สำหรับจีน สัปดาห์นี้ให้ติดตาม Caixin Manufacturing และ Services PMI และจากผลประกอบการของหุ้นเทคใหญ่ใน 1Q25 ที่ออกมา และภาครัฐที่มีมาตรการกระตุ้นชดเชยปัจจัยลบจากสงครามการค้า เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับกรอบการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า โดยให้ทยอยลงทุนเมื่อดัชนี MSCI China ย่อตัวลง
Holding lists
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
KT-INDIA-A: กองทุนหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Invesco India Equity โดยปัจจุบันเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่มการเงิน การบริโภคและอุตสาหกรรมที่เติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศอินเดีย ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว จากการที่ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ชัดเจนที่จะทำให้ขึ้นเหนือ 25,000 จุด ได้ อย่างไรก็ตามตัวเลข GDP 1Q’CY25 ที่รายงานช่วงเย็นวันศุกร์เติบโตขึ้น 7.4% มากกว่าตลาดคาดที่ 6.7% อาจเป็นแรงหนุนในสัปดาห์นี้
เราแนะนำให้ Let profit run หลังจากดัชนี Nifty 50 ยังยืนเหนือ 24,000 จุด โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 25,200 จุด
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
PRINCIPAL VNEQ-A: กองทุนหุ้นเวียดนาม ลงทุนโดยตรงในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามหรือมีธุรกิจหลักในเวียดนามและ ETF โดย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2025 กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินมากที่สุดในพอร์ตราว 38% ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากสงครามการค้าที่ผ่อนคลายในช่วงต้นสัปดาห์ แต่ตลาดไม่ได้ตอบสนองเชิงบวกเหมือนตลาดหุ้นเอเชียเหนือในวันที่ศาลขั้นต้นระงับคำสั่ง Reciprocal ของทรัมป์ สะท้อนการเริ่มดื้อข่าวดี อีกทั้งการที่เศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงมาก ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตจะมีความผันผวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เราจึงแนะนำให้ทยอยขายหลังดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นเหนือ 1,300 จุด
K-APB-A(A): กองทุนตราสารหนี้เอเชีย ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lombard Odier Asia Value Bond เน้นลงทุนในตราสารหนี้เอเชียระดับ Investment Grade ราว 60% และ High Yield ราว 40% ณ วันที่ 30 เม.ย. 2025 มีสัดส่วนการลงทุนในอินเดีย 21.5%, จีน 12.5%, ฮ่องกง 10.2% และญี่ปุ่น 8.6% โดยมี Portfolio duration ที่ 5.44 ปี และมี Yield to maturity ที่ 8.03% จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายภาษี ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้เอเชียมีความเสี่ยงสูงขึ้น จาก Sentiment ที่อาจทำให้ Credit Spread ปรับตัวขึ้น
เราจึงแนะนำให้ทยอยขายหลังจากกองทุนฟื้นตัวขึ้นมาตาม Sentiment ที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่อาจจะปรับตัวลงต่อจากภาวะ Risk off ต่อจากนี้

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต