ลงทุนธุรกิจ “โลกทิพย์”กับ Meta Platforms Inc.


ลงทุนธุรกิจ “โลกทิพย์”กับ Meta Platforms Inc.
เชื่อว่าเมื่อไม่นานมานี้คงไม่มีข่าวไหนที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้แก่คนทั่วโลกไปกว่าการที่ Tech Giant อย่าง Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook Inc. เป็น Meta Platforms Inc. เพื่อเปิดเส้นทางสายใหม่ที่จะก้าวเข้าสู่โลกเสมือนจริงอย่าง Metaverse โดย Metaverse ย่อมาจาก Meta-Universe เป็นการผสานชีวิตจริงกับโลกเสมือนเข้ามาไว้ด้วยกันในโลกออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการใหม่ให้แก่ผู้ใช้งาน การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะทำให้ Facebook ไม่ใช่เป็นแค่ Social Media Company แต่จะกลายเป็น Metaverse Company โดยมีแผนเปลี่ยนชื่อจาก Facebook (FB US) เป็น Meta Platforms (MVRS US) ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตาม การ Rebrand ครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชื่อของบริษัทแม่ (Parent Company) ขณะที่ Application ต่างๆ ที่เราใช้งานโดยทั่วไป เช่น Facebook Instagram และ Whatapp ยังคงใช้ชื่อเดิม
การเปลี่ยนแปลงสู่โลก Metaverse อาจไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่คิดจะก้าวเข้ามาเล่นในธุรกิจนี้ (เมื่อเร็วๆ มานี้ Microsoft และ Nike ก็เพิ่งประกาศที่จะกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้เช่นเดียวกัน) แต่ Facebook ถือเป็นเจ้าแรกที่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ก้าวที่สำคัญครั้งนี้ Facebook เชื่อว่าจะเป็นการสร้างโอกาสประสบความสำเร็จจากธุรกิจ 3D ในอนาคต หลังจากที่ Facebook เคยประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อผู้คนผ่านโลกออนไลน์ 2D ในปี 2004 จนทำให้ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้งานกว่า 3,000 ล้านคนในทุก social media platforms ซึ่งการก้าวเข้าสู่ Metaverse เพื่อต้องการเจาะกลุ่ม New generation (เดิมผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Old generation) และเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อสร้างช่องทางรายได้มากกว่ารายได้จากโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของบริษัทในปัจจุบัน
Metaverse เป็นเหมือนการย้ายมนุษย์เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง (ย้ายเข้าไปโลกทิพย์!) ที่สามารถทำอะไรก็ได้ในนั้นตามจินตนาการของเรา เหมือนเป็นการรวม Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้คนมีการปฏิสัมพันธ์กัน (Social Interaction) ในโลกเสมือน ซึ่ง Metaverse จะไม่ได้อยู่ในแค่โลกของเกมส์หรือความบันเทิงเท่านั้น แต่ในโลกของการทำงานจะมีสร้างโลกทำงานเสมือนเพื่อให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ในอนาคตเราอาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาใน office ก็เป็นไปได้ รวมถึงโลกของการลงทุน เราอาจได้ยินข่าวการจับจองซื้อที่ดินในโลกเสมือนแล้วเช่นกัน โดยที่ผ่านมา Facebook ได้มีการวางพื้นฐานในธุรกิจโลกเสมือนโดยการเข้าไปซื้อกิจการ Oculus บริษัทผู้ผลิตพัฒนา VR และล่าสุดได้ร่วมกับ Ray-Ban เพื่อพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ อย่างไรก็ตาม โลกใบใหม่ใบนี้จะไม่ได้มีเพียงแค่การมองเห็นเท่านั้น แต่จะพัฒนาเป็นการสัมผัสเสมือนจริงได้เช่นกัน เพื่อต้องการดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาในโลกเสมือนจริงใบนี้ได้มากที่สุด
ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม
การขยับตัวไปสู่ Metaverse เป็นการเพิ่มความหลากหลายในการหารายได้ผ่านช่องทาง Online และเพื่อกระจายความเสี่ยงของบริษัทที่เดิมกระจุกตัวเพียงแค่รายได้หลักจากโฆษณาเพียงแหล่งเดียว รวมถึงการให้ความสำคัญของ Data Privacy ที่ผู้ให้บริการอย่าง Apple และ Google ต่างให้ผู้ใช้บริการเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลหรือปิดกั้นการมองเห็น ทำให้ Facebook ไม่สามารถมองเห็นข้อมูลการใช้บริการ และไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้เท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ การสร้างโลกเสมือนจริงจึงอาจช่วยปลดล็อคการปิดกั้นการมองเห็นจากโลกออนไลน์ดังกล่าว และสามารถสร้างรายได้จากโลกใหม่ในอนาคตให้แก่บริษัท รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ได้รับผลบวกจาก Metaverse
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา Facebook โดนโจมตีอย่างหนัก ทั้งเรื่องไม่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับมนุษยธรรม และการมองเห็นกำไรมากกว่าการคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้คน (Profits over safety) ทำให้สังคมเริ่มลดความเชื่อถือในธุรกิจ Facebook platform มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมี Fake News รวมถึงข้อมูลขยะมากมาย แต่ทาง Mark Zuckerberg (Facebook CEO) ชี้แจงว่าในโลก Meta บริษัทจะให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยจะนำมาเป็นประเด็นหลักตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจโลกเสมือนจริง
ความท้าทายของการกำกับดูแลใน Metaverse ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดองค์กรกำกับดูแลที่มารับหน้าที่โดยตรง ทำให้มีความท้าทายจากการกำกับดูแลในอนาคตเช่นเดียวกับที่กำลังเผชิญในโลกของ Cryptocurrency ในปัจจุบัน และมีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนจากความไม่แน่นอนดังกล่าว
Facebook เป็นธุรกิจ Social Media ซึ่งจะมี Depreciation Cost ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากไม่ลงทุนในเครื่องจักร เหมือนบริษัทในบางอุตสาหกรรมที่มีค่าเสื่อมค่อนข้างมาก อีกทั้งมีอัตราการทำกำไรค่อนข้างสูง และ Facebook ยังได้ประโยชน์จาก Network Effect ที่เกิดจากจำนวนผู้ใช้งานในระบบที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Investor Tip:
Meta Platforms Inc. – Meta Platforms Inc. เปลี่ยนชื่อจาก Facebook Inc. เพื่อแสดงจุดยืนสำคัญในการเปลี่ยนตัวเองจาก Social Media Company สู่ Metaverse Company ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง อย่างไรก็ตาม Social Media Platforms ที่มีอยู่ทั้ง Facebook Instagram และ Whatapp ยังคงใช้ชื่อเดิม (ปัจจุบัน Facebook เป็น Social Media Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 3,000 ล้านคน คิดเป็น 59% ของผู้ใช้งาน Social Network ทั่วโลก (as of 09/2021)) ซึ่ง Meta Platforms Inc. จดทะเบียนซื้อขายในตลาด NASDAQ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ Ticker Code ในการซื้อขายว่า “MVRS US” และมีขั้นต่ำในการซื้อขายจำนวน 1 หุ้น (Trade Lot = 1) โดยการเปลี่ยนชื่อและ Ticker Code ของ Facebook In. (FB US) เป็น Meta Platforms Inc. (MVRS US) จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
ราคาหุ้น Facebook เคยขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 384.33 USD ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 328.08 USD (as of 02/11/2021) ราคาปรับลดลงมา 14.64% โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 912.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการซื้อขายอยู่ที่ P/E 23.48 เท่า (ขณะที่กลุ่ม media & advertising บางตัวในไทยซื้อขายกันที่ P/E 40-50 เท่า) ในปี 2020 Facebook มี EPS อยู่ที่ 12.084 USD โดย Bloomberg คาดการณ์ EPS ในปี 2021-2022 จะอยู่ที่ประมาณ 15.165 USD (เติบโตประมาณ 25.50% YoY) และ 15.534 USD ตามลำดับ
Source: KS OFFSHORE , CFRA Research ,Bloomberg
เปิดพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศ > https://bit.ly/3c3oDs2
KSecurities #KS #OffshoreInvestment #หุ้นต่างประเทศ #Meta #Facebook

เปิดพอร์ตลงทุน >> https://bit.ly/3eC98sz
KS #KSecurities
Follow us :
LINE : http://bit.ly/KSLINEOA
Facebook: http://bit.ly/2XwGoaa
Instagram: http://bit.ly/332OqIT
Twitter: http://bit.ly/344OVng
YouTube: http://bit.ly/2QAdiFp