รู้จัก Leverage และ Inverse ETFs ตัวช่วยทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง


รู้จัก Leverage และ Inverse ETFs ตัวช่วยทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
หลังจากที่สำนักงาน กลต. ได้ออกมาปรับปรุงหลักเกณฑ์รองรับ Leverage และ Inverse ETFs โดยอนุญาตให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุน Leverage และ Inverse ETFs ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้เงื่อนว่าต้องมีอัตราทวีคูณไม่เกิน 2 เท่าและอัตราทวีคูณต้องเป็นจำนวนเต็ม ไม่เป็นทศนิยม และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้หลายคนสงสัยว่า Leverage และ Inverse ETFs คืออะไร และมีความแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนทั่วไปอย่างไร บทความนี้จะพาไปรู้จักกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พร้อมปัจจัยสำคัญที่ควรทราบก่อนลงทุน
ETF คืออะไร
ETF หรือ Exchange-Traded Fund คือ เครื่องมือการลงทุนที่รวมสินทรัพย์หลากหลายชนิดมาไว้ในหนึ่งกองทุน แล้วนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการเหมือนหุ้น โดย ETF มักใช้ลงทุนตามสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ดัชนี S&P 500 สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทองคำ เป็นต้น
Leverage และ Inverse ETFs (L&I ETFs) คืออะไร?
1. Leverage ETFs
- เป็นกองทุน ETF ที่ทำผลตอบแทนทิศทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง เช่น 2 หรือ 3 เท่า หรือเรียกว่า อัตราทด 2 หรือ 3 เท่า
- ใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Options หรือ Futures ในการทำผลตอบแทนตามอัตราทดที่กำหนดไว้
- ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนลงทุนใน ETF ที่ล้อกับดัชนี Nasdaq 100 โดยมีอัตราทด 2 เท่า เมื่อดัชนีเพิ่มขึ้น 1% ผลตอบแทนของ ETF จะเพิ่มขึ้น 2%
2. Inverse ETFs
- เป็นกองทุน ETF ที่เหมือน Leverage ETFs แต่ออกแบบมาให้ผลตอบแทนสวนทางกับดัชนีอ้างอิง
- ใช้เครื่องมือทางการเงินเช่นเดียวกับ Leverage ETFs (เช่น Options หรือ Futures)
- ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนลงทุนใน ETF ที่สวนทางกับดัชนี S&P 500 แบบ Inverse เมื่อดัชนีลดลง 1% ผลตอบแทนของ ETF จะเพิ่มขึ้น 1%
ปัจจัยที่ควรรู้ ก่อนลงทุน Leverage และ Inverse ETFs (L&I ETFs)
Leverage และ Inverse ETFs เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนสำหรับการทำกำไรในตลาดทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนเหล่านี้้มี อัตราทด (Leverage) ที่ทำให้ราคาขึ้นหรือลงมากกว่าดัชนีอ้างอิงทั่วไป ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้แตกต่างจากที่คาดไว้ ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยดังต่อไปนี้ก่อนเริ่มลงทุน
1. Daily Rebalancing
Leverage และ Inverse ETFs จะต้องรักษาอัตราทดที่ตั้งไว้ เช่น 2 เท่าของดัชนีอ้างอิง เนื่องจากราคาดัชนีเปลี่ยนแปลงทุกวัน ETFs จะต้องปรับมูลค่า "Index Exposure" หรือมูลค่าลงทุนที่สามารถรับได้ เพื่อเป็นกรอบรองรับกรณี ETFs กำไรหรือขาดทุน ซึ่งกระบวนการนี้ในแต่ละวัน เรียกว่า Daily Rebalancing
ตัวอย่าง:
สมมติว่า Leverage ETF ที่มีอัตราทด 2 เท่า มีสินทรัพย์ 100 ล้านดอลลาร์ หมายความว่าต้องมี Index Exposure เท่ากับ 200 ล้านดอลลาร์ (2 เท่าของสินทรัพย์)
- ถ้าดัชนีเพิ่มขึ้น 10% → ETF จะทำกำไร 2 เท่า หรือ 20%
- มูลค่าสินทรัพย์ของ ETF จะเพิ่มเป็น 120 ล้านดอลลาร์ (100 × 1.2)
- ดังนั้น Index Exposure ต้องเพิ่มเป็น 240 ล้านดอลลาร์ (2 เท่าของสินทรัพย์)
หากไม่มีการทำ Daily Rebalancing อัตราทดของ ETF จะเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แทนที่จะคงที่ที่ 2 เท่าหรือ 3 เท่าตามที่ตั้งไว้
2. Volatility Decay
แม้ว่า Daily Rebalancing จะช่วยให้ L&I ETFs รักษาอัตราทดตามที่ตั้งไว้ แต่ในช่วงที่ตลาดผันผวน ผลตอบแทนของ ETF อาจเริ่มคลาดเคลื่อนจากดัชนีอ้างอิง เนื่องจากต้นทุนที่เกิดจากการ Daily Rebalancing ทุกวันและผลจากการทบต้นของราคาที่แตกต่างกัน
- วันที่ 1: กำหนดให้ราคาดัชนีและราคา ETF อยู่ที่ 100 ดอลลาร์เหมือนกัน
- วันที่ 2:
- ราคาดัชนีปรับขึ้น 10% จาก 100 เป็น 110 ดอลลาร์ (100 * 1.1 = 110)
- ราคา ETF (อัตราทด 2 เท่า) จะเพิ่มขึ้น 20% จาก 100 เป็น 120 ดอลลาร์ (100 *1.2 = 120)
- วันที่ 3:
- ราคาดัชนีลดลง 10% จาก 110 เหลือ 99 ดอลลาร์ (110 * 0.9 = 99)
- ราคา ETF (อัตราทด 2 เท่า) จะลดลง 20% จาก 120 เหลือ 96 ดอลลาร์ (120 * 0.8 = 96)
ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่าท้ายที่สุดแล้วราคาของ ETF ต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำ Daily Rebalancing และการทบต้นของราคาที่แตกต่างกัน โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Volatility Decay
3. อัตราค่าธรรมเนียมสูงกว่า ETF ทั่วไป
โดยทั่วไป Leverage และ Inverse ETFs มีอัตราค่าธรรมเนียมสูงกว่า ETF ธรรมดา เนื่องจาก
การปรับสมดุลรายวัน (Daily Rebalancing)
- ETF เหล่านี้ต้องปรับสมดุลทุกวันเพื่อรักษาอัตราทดที่ตั้งไว้ ซึ่งกระบวนการนี้มีต้นทุนในการดำเนินการทุกครั้ง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้น
- การใช้เครื่องมือทางการเงิน
- เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามอัตราทดที่ต้องการ ETF จะใช้เครื่องมืออย่าง Futures, Options หรือ Swaps ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายจาก Counterparty และค่าใช้จ่ายในการติดตามดัชนี
ตัวอย่าง หากเปรียบเทียบระหว่าง SPY (ETF ที่ลงทุนในดัชนี S&P 500) กับ SSO (Leverage ETF 2x ที่ลงทุนในดัชนี S&P 500)
- SPY มีอัตราค่าธรรมเนียมเพียง 0.09% ต่อปี
- SSO มีอัตราค่าธรรมเนียมที่ 0.89% ต่อปี (ค่าธรรมเนียมสูงกว่า)
เทียบผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง ระหว่าง ดัชนี Nasdaq 100 (NDX) และ Proshares Ultra QQQ (QLD)
ตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (เปรียบเทียบระหว่าง NDX และ QLD)
- NDX มีผลตอบแทน 3.05%
- QLD มีผลตอบแทน 6.36%
จากข้อมูลจะเห็นว่า ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น QLD ซึ่งมีอัตราทด 2 เท่า ทำผลตอบแทนสูงกว่า NDX อย่างชัดเจน แต่ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง QLD มักจะปรับตัวลงมากกว่า ส่งผลให้บางช่วงเวลาผลตอบแทนของ QLD ตํ่ากว่า NDX สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนใน L&I ETFs มีความซับซ้อนและอาจขึ้นอยู่กับจังหวะในการลงทุน จึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุน
ลงทุนหุ้นนอกกับ KS ครอบคลุม 40 ตลาดชั้นนำทั่วโลก (เทรด Online 28 ตลาด เทรด Offline 12 ตลาด)
เปิดพอร์ตลงทุน >> http://ksecurities.co/Open-Account_GlobalTrade
Source: KS Global Invest, CFRA, Bloomberg data as of 12/03/2025
ลงทุนหุ้นนอกกับ KS ครอบคลุม 40 ตลาดชั้นนำทั่วโลก (เทรด Online 28 ตลาด เทรด Offline 12 ตลาด)
เปิดพอร์ตลงทุน >> https://ksecurities.co/open-account
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #Ksecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #หุ้นต่างประเทศ #หุ้นสหรัฐ #หุ้นสหรัฐอเมริกา #หุ้นฮ่องกง #หุ้นยุโรป #หุ้นเทค #ผลตอบแทน #ETF