KS: KS FUND TOP PICK 20 - 24 ต.ค. 2025

KS: KS FUND TOP PICK 20 - 24 ต.ค. 2025

วิเคราะห์โดย KS Research Strategy
20 ต.ค. 2568
ย้อนกลับ

KS: KS FUND TOP PICK 20 - 24 ต.ค. 2025

จากกังวลสู่โอกาส แนะ Buy on dip ช่วง Macro ผันผวน งบแบงก์ใหญ่สหรัฐฯ Double Beat หนุนตลาดปรับกำไรขึ้น

- ตลาดหุ้นโลก (ACWI) กลับมาปรับตัวขึ้นท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้น หลังเผชิญแรงขายในสัปดาห์ก่อนหน้า จากการที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 100% ในวันที่ 1 พ.ย. 2568 เพื่อเป็นการตอบโต้ที่จีนออกมาตรการควบคุมการส่งออก Rare Earth แต่จากท่าทีที่ค่อนข้างประนีประนอมของสหรัฐฯ และจีน ทำให้ตลาดมีความคาดหวังว่าทั้งคู่จะมีการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดลงได้ ทำให้ตลาดหุ้นมีการรีบาวด์ขึ้น แม้จะมีแรงขายสลับเข้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ จากการที่จีนออกมาตอบโต้ด้วยการขึ้น blacklist บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ 5 แห่งในเครือ Hanwha Ocean ส่วนทรัมป์เองก็มีขู่ตัดขาดการนำเข้าสินค้าบางรายการ เช่น น้ำมันพืช เป็นต้น แต่โดยภาพรวมแล้วสงครามการค้าไม่ได้ยกระดับความรุนแรงขึ้นมากนัก นอกจากนี้ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการแถลงของพาวเวลล์ที่ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ปลายเดือน ต.ค. พร้อมกันนั้นยังส่งสัญญาณใกล้สิ้นสุดกระบวนการลดงบดุล (QT) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตามในช่วงปลายสัปดาห์ ตลาดกลับมาเจอแรงกดดันอีกครั้ง หลังมีข่าวการฉ้อโกงสินเชื่อของ Regional Bank ในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อที่ซ่อนอยู่ในระบบการเงิน แต่แล้วช่วงค่ำวันศุกร์ ก็ได้มีสองเหตุการณ์ที่ช่วยฟื้น Sentiment ของตลาดให้กลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง

1) จากการที่ทรัมป์ออกมายอมรับว่าภาษีที่อาจขึ้นกับสินค้าจีนเป็น 100% ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่นั้น เป็นอัตราที่ไม่ยั่งยืนในเชิงเศรษฐกิจ (It’s not sustainable) พร้อมยืนยันการพบกับสี จิ้นผิง ในการประชุม APEC โดยที่ Scott Bessent จะนำร่องไปพบกับ He Lifeng รองนายกรัฐมนตรีของจีนที่มาเลเซีย ในวันเสาร์ที่ 25 ต.ค. เพื่อตระเตรียมการประชุม

2) อีกทั้งยังมีการรายงานผลประกอบการหุ้นกลุ่ม Regional Bank หลายแห่งที่ดีกว่าคาด โดย Fifth Third ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้รับผลกระทบ มีกำไรเพิ่ม 14% แม้ต้องตัดขาดทุนจากประเด็นฉ้อโกงข้างต้น 178 ล้านดอลลาร์ แต่ผู้บริหารยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะรายและไม่ใช่ปัญหาในเชิงระบบ อีกทั้งธนาคารที่เหลือต่างไม่พบว่ามีกรณีการฉ้อโกงหรือหนี้เสียใหม่เพิ่มเติม

- สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคข้างต้น แต่ตลาดยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ Dow Jones +1.56%, S&P 500 +1.70%, Nasdaq Composite +2.14% และ Russell 2000 +2.40% จากแรงหนุนสำคัญอย่างการรายงานผลประกอบการเต็มรูปแบบเป็นสัปดาห์แรก โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารใหญ่ทั้ง JPMorgan, Bank of America, Wells Fargo, Citi, Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างมีผลประกอบการ “Double Beat” กล่าวคือดีกว่าคาดทั้งรายได้ และกำไร โดยกำไรเติบโตในระดับสองหลักทุกธนาคาร หนุนโดยค่าธรรมเนียมการซื้อขายในตลาดทุน (Trading) ที่ดีมาอย่างต่อเนื่องในหลายไตรมาสที่ผ่านมา อีกทั้งในไตรมาสนี้ยังได้การเร่งขึ้นของค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจ (Investment Banking) ที่กลับมาคึกคักอย่างมากทั้งดีล M&A, การนำหุ้นเข้าตลาด (IPO) และการระดมทุนผ่านตราสารหนี้

นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่ม Semiconductors ที่ปรับตัวขึ้นแรงยกกลุ่มหลัง OpenAI เซ็นสัญญาซื้อชิป custom ที่ออกแบบสำหรับงาน Inference และอุปกรณ์เน็ตเวิร์กของ Broadcom ขนาด 10 GW และการที่หุ้นเทคฯ ใหญ่อย่าง ASML และ TSMC รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด และได้การปรับตัวขึ้นของหุ้น Google ที่ +7% ในสัปดาห์ที่แล้วขึ้นทดสอบระดับ record high หลังประกาศสร้างศูนย์ข้อมูล AI ในอินเดีย $15 bn รวมถึงหุ้น Walmart ที่ขึ้นทำ all time high ขานรับประกาศพาร์ตเนอร์กับ OpenAI ให้ลูกค้าซื้อของผ่าน ChatGPT ได้โดยตรง จุดกระแส “ค้าปลีก x AI”

- สำหรับตลาดหุ้นอื่นๆ ต่างเคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันของสงครามการค้า และปรับตัวลงโดยภาพรวมนำโดยตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน โดย CSI 300 -2.22% และ HSCEI -3.7% จากสงครามการค้าและภาวะ Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ตามมาด้วยตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ Nikkei -1.05% และ Topix -0.85% จากปัจจัยด้านการเมืองที่ยังไม่แน่นอนและอยู่ในช่วงที่พรรค LDP กำลังหาพันธมิตรใหม่ในการร่วมรัฐบาล

ด้านตลาดหุ้นเกาหลีใต้ Kospi +3.83% ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่หนุนโดยผลประกอบการของ Samsung Electronics ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และกำไรจากการดำเนินงานมากที่สุดในรอบกว่า 3 ปี หนุนโดยความต้องการชิปหน่วยความจำที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ตลาดหุ้นไต้หวัน TWSE กลับทำได้แค่ flat แม้ TSMC จะรายงานผลประกอบการออกมาดีมากกว่าคาด แต่การเติบโตของกำไรเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว (Slowdown) ทำให้ราคาไม่ได้ตอบสนองในเชิงบวกมากนัก

และสุดท้ายตลาดหุ้นยุโรป Stoxx 600 +0.37% หนุนโดย LVMH และ ASMLที่ผลประกอบการดีกว่าคาด หนุนหุ้นกลุ่ม Luxury Brand อย่าง Hermes และ Richemont ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากหุ้นธนาคารโดยเฉพาะในเยอรมนีที่ดัชนี DAX แทบไม่รีบาวด์ในวันศุกร์

- ในสัปดาห์นี้ เรามองปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม คือ การรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Tesla, Netflix, Lam Research, Intel, Coca Cola, P&G, Vertiv หุ้นในกลุ่ม Defense อย่าง Lockheed Martin และ RTX หุ้นในกลุ่มประกันสุขภาพอย่าง Elevance Health และ HCA Healthcare รวมถึง Regional Bank ที่มีประเด็นในสัปดาห์ก่อนหน้าอย่าง Zions สำหรับหุ้นยุโรปให้ติดตามบริษัทซอร์ฟแวร์ใหญ่อย่าง SAP รวมถึงแบงก์ที่มีประเด็นถูกฉ้อโกงอย่าง Barclays และกลุ่มชิปอย่าง BE Semiconductor ขณะที่หุ้นจีนให้ติดตาม CATL ซึ่งมี Market cap ใหญ่ที่สุดในดัชนี CSI 300

ด้านปัจจัยมหภาคให้ติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) ที่จะกลับมารายงานในวันที่ 24 ต.ค. 2025 แต่ข้อมูลอื่นจะเว้นว่างจากภาวะ Government Shutdown ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 อีกปัจจัยที่สำคัญที่ไม่แพ้กัน คือการประชุม Fourth Plenum ของจีนในวันที่ 20-23 ต.ค. ที่จะมีการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับที่ 15 (2026-2030) เน้นในเรื่อง นวัตกรรม, ความมั่นคงทางเทคโนโลยี และการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจจีนอย่าง GDP 3Q25, ราคาบ้าน, ยอดค้าปลีก, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

ด้านญี่ปุ่นให้ติดตามการโหวตเลือกนายกฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ต.ค. และการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) รวมถึงตัวเลข PMI ของประเทศหลักทั่วโลก

- เราประเมินตลาดหุ้นโลกจะยังอยู่ในสภาวะผันผวนสูงจากสงครามการค้า จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการพบกันของ Trump-Xi ที่การประชุม APEC ในวันที่ 31 ต.ค. ในสภาวะที่ปัจจัยมหภาคยังมีความไม่แน่นอน เราคาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวตามผลประกอบการของหุ้นสำคัญในแต่ละแห่งเป็นหลัก โดยเราคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นโลก หลังผลประกอบการของหุ้นใน S&P 500 ล่าสุดที่ออกมาแล้ว 10% มีจำนวนบริษัทที่มีกำไรมากกว่าคาด 82% และมีกำไรเติบโต 16.8% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดราว 6% นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินที่กำไรโต 23% มากกว่าตลาดคาด 7.7% หนุนโดยหุ้น 6 ธนาคารใหญ่ที่มีกำไรโตเกินสองหลัก

นอกจากนี้ผลประกอบการหุ้นในกลุ่มเทคฯ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, ASML และ TSMC ต่างสะท้อนแนวโน้มความต้องการใน AI ที่แข็งแกร่งทั้งในปัจจุบัน และอนาคต อีกทั้ง Oracle ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้จาก Cloud ในปีงบประมาณ 2030 จาก $144bn เป็น $166 bn ที่งาน Oracle AI World 2025 ทั้งๆ ที่เพิ่งเพิ่มเป้าหมายรายได้ส่วนนี้ขึ้นเมื่อต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยเราคงคำแนะนำเข้าลงทุนใน K-GSELECTU-A(A) สำหรับ Core Portfolio และ KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services สำหรับ Satellite Portfolio 12 เดือน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและปรับฐานจากปัจจัยมหภาค และคงแนะนำลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นผ่านกองทุน K-JP-A(D) จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะนำมาซึ่งการ Rerating PER

ด้านตราสารหนี้ ในส่วนของกองทุน UGISFX-N เราแนะนำให้รอจังหวะที่ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ระดับ 4.20% ก่อนจึงค่อยกลับเข้าลงทุน และกองทุน ONE-FFI ที่เป็น Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน สำหรับเก็งกำไรจากค่าบาท เราแนะนำทยอยสะสมเมื่อค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 32-33 บาท/ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายในการทำกำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ และกำหนดจุดตัดขาดทุนเมื่อเงินบาทแข็งค่ากว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์

Implication

Buy lists

Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

- KKP TECH-UH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวขึ้น 2.87% แรงหนุนหลักมาจากหุ้นในกลุ่ม Semiconductors ที่ได้รับปัจจัยบวกจากดีล OpenAI x Broadcom และผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของหุ้นต้นน้ำจากทั้ง ASML และ TSMC รวมถึงการปรับตัวขึ้นของ Google ราว 7%

- สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ติดตามผลประกอบการของ Netflix, Lam Research, Intel และ BE Semiconductor เราคงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) ในจังหวะที่มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า

- K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix -0.85% หลังจากพรรค Komeito ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดการ Unwind Takaichi Trade รวมถึงความกังวลทั้งสงครามการค้าและ Regional Bank ในสหรัฐฯ ถึงแม้จะได้แรงหนุนจากหุ้นเทคฯ อย่าง Tokyo Electron, Advantest และ SoftBank Group ที่ปรับตัวขึ้นสวนตลาดก็ตาม

- สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการโหวตเลือกนายกฯ ในวันอังคารที่ 21 ต.ค. 2025 ที่ล่าสุดพรรค LDP มีโอกาสร่วมรัฐบาลกับ Ishin หนึ่งในพรรคฝ่ายค้านที่มีนโยบายหลักสอดคล้องกัน โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)

- ONE-FFI: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 27 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.83% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

- เราปรับคำแนะนำให้กลับมาเข้าลงทุนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับเข้ามาในกรอบ 32 – 33/USD โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD

Holding lists

Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

- TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ flat ในสัปดาห์ที่แล้ว จากการที่มีทั้งปัจจัยบวกอย่างผลประกอบการหุ้นธนาคารใหญ่ และ AMEX ที่ออกมาดีกว่าคาดมาก แต่ถูกปัจจัยลบอย่างความกังวลภาวะหนี้เสียของ Regional Bank จะลุกลาม และสงครามการค้า

- เราแนะนำให้ Let profit run โดยสัปดาห์นี้ให้ติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ และ PMI

KS-FUND-TOP-PICK-1200x1200.jpg

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund

Follow us :

LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA

Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook

Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram

Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter

YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube

Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads

#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต

ค้นหา