KS: KS FUND TOP PICK 24 - 28 พ.ย. 2025

KS: KS FUND TOP PICK 24 - 28 พ.ย. 2025

วิเคราะห์โดย KS Research Strategy
24 พ.ย. 2568
ย้อนกลับ

KS: KS FUND TOP PICK 24 - 28 พ.ย. 2025

📌ตลาดหุ้นปรับฐาน หลังเฟดมีข้อมูลไม่พอให้ลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. / ทยอยสะสมหุ้นโลกและ RMF หลังงบ Nvidia เปิดรันเวย์กลุ่ม AI ไกลกว่าเดิม

✅สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นโลก (ACWI) เผชิญแรงขายอย่างหนักตลอดทั้งสัปดาห์ จากความกังวลที่ชัดเจนขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้ หลังข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด (119k vs 53k) แม้อัตราว่างงานจะสูงขึ้น จาก 4.3% เป็น 4.4% แต่โดยรวมเกิดจากแรงงานใหม่เข้าสู่ระบบมากขึ้น ประกอบกับการที่สำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) จะมีการรายงานข้อมูลแรงงานชุดถัดไปในวันที่ 16 ธ.ค. หลังการประชุม FOMC ทำให้ตลาดประเมินว่า Fed มีข้อมูลไม่เพียงพอในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยรอบนี้

✅นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของกรรมการ Fed หลายคนในช่วงปลายสัปดาห์ยังเน้นความระมัดระวัง เช่น Beth Hammack (Fed Cleveland) ชี้ว่าตลาดการเงินยังผ่อนคลายเกินไปและไม่ควรลดดอกเบี้ยเร็ว, Susan Collins (Fed Boston) ต้องการคงดอกเบี้ยระดับสูงไปอีกสักพักเพื่อกดเงินเฟ้อ, Raphael Bostic (Fed Atlanta) ก็เน้นรอดูผลเงินเฟ้อและผลของภาษีให้ชัดก่อน ส่วน Lisa Cook (Fed Governor) เตือนถึงความเสี่ยงฟองสบู่ในสินทรัพย์บางกลุ่มหากเฟดผ่อนนโยบายเร็วเกินไป ขณะที่มีเพียง Christopher Waller (Fed Governor) ที่ยังหนุนลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมโดยมองว่าเงินเฟ้อใกล้เป้าและตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแรง ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ตลาดเริ่มฟื้นตัว หลัง John Williams (Fed New York) ส่งสัญญาณว่ายังมีช่องสำหรับการปรับลดดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ ทำให้ตลาดกลับมาคาดหวังการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. อีกครั้ง

✅ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงตลอดทั้งสัปดาห์ โดยที่ Dow Jones -1.91%, S&P 500 -1.95%, Nasdaq Composite -2.74% (ปิดลบ 3 สัปดาห์ติดต่อกัน) และ Russell 2000 -0.78% โดยแรงขายมาในกลุ่ม Technology (-4.73%), Consumer Discretionary (-3.25%) และ Energy (-3.09%) จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. และความคืบหน้าการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่กลุ่ม Communication Services (+3.04%) จากการปรับตัวขึ้น Google (+8.4%) ขึ้นทำ all-time high และมี market cap เป็นอันดับ 3 ของโลก แซงหน้า Microsoft หลัง Gemini 3 ได้รับการตอบรับที่ดี

✅นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Healthcare ที่ขึ้นทำ New high หนุนโดยบริษัทยา Eli Lilly (+3.36%), Johnson & Johnson (+4.07%) และ Merck (+5.21%) และ Consumer Staples ที่ Walmart (+2.77%) หลังรายงานผลประกอบการดีกว่าคาด พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายกำไรและยอดขายขึ้นเหนือคาดการณ์เดิม หลังผลกระทบจาก tariff ไม่ได้รุนแรงเท่าที่เคยกังวล สำหรับหุ้นเทคฯ แม้ Nvidia จะรายงานผลประกอบการดีกว่าคาดอย่างมากในไตรมาสล่าสุด รวมถึงให้แนวโน้มในไตรมาสถัดไปใหม่สูงกว่าคาด อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐฯ อนุมัติกรอบดีลขายชิป AI ขั้นสูงราว 70,000 ตัว (เทียบเท่าเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB300 ประมาณ 35,000 เครื่อง) ให้ UAE และซาอุฯ ผ่านบริษัท G42 และ Humain เพื่อผลักดันตะวันออกกลางเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลก แต่ปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้หุ้นเทคฯ รีบาวด์ขึ้นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่สามารถชดเชยความกังวลจาก Macro ได้

✅ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ ต่างปรับตัวลงแรงไม่แพ้กัน นำโดยหุ้นจีนอย่าง HSCEI (-5.09%) ที่ผลประกอบการหุ้นเทคฯ ใหญ่ น่าผิดหวัง และ CSI 300 (-3.77%) ซึ่งเป็นการปรับตัวรายสัปดาห์มากที่สุดตั้งแต่ Liberation Day ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei -3.48%), ไต้หวัน (TWSE -3.51%) และเกาหลีใต้ (Kospi -3.95%) ต่างปรับตัวลงแรงจากแรงขายหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แม้จะมีบางจังหวะที่รีบาวด์ตามข่าวบวก เช่น ผลประกอบการ Nvidia หรือดีลเทคโนโลยี AI ระดับโลก อย่างไรก็ตามดัชนี Topix ติดลบเพียง -1.85% หลัง ครม. อนุมัติแพ็กเกจเศรษฐกิจชุดใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 21.3 ล้านล้านเยน นับเป็นมาตรการใหญ่ที่สุดหลังยุคโควิด โดยเงินส่วนใหญ่จะมาจากงบกลาง (17.7 ล้านล้านเยน) และมีส่วนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม (2.7 ล้านล้านเยน) ด้านตลาดหุ้นเอเชียใต้ Outperform ตลาดอื่นอย่างชัดเจน จากการที่มีสัดส่วนหุ้นเทคฯ ไม่สูงมากนัก โดยตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty 50 +0.61%) ปรับตัวขึ้นทำ new high ในปีนี้ได้สำเร็จ และอยู่ห่างจาก all-time high เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากแนวโน้มผลประกอบการที่ผ่านพ้นจุดต่ำสุด และถูกปรับประมาณการขึ้น

✅สัปดาห์นี้ เราแนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กลับมารายงาน อย่างอัตราเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI), ยอดค้าปลีก (Retail Sales), ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ Initial Jobless Claims ส่วนตัวเลขสำคัญที่อาจมีผลต่อมุมมองของกรรมการเฟดอย่าง GDP 3Q25 และ Core PCE ซึ่งเดิมมีกำหนดรายงานวันที่ 26 พ.ย. นั้น ยังคงอยู่ระหว่างการเลื่อนประกาศและรอกำหนดวันใหม่ นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีกำหนดปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 27 พ.ย. (เต็มวัน) และวันศุกร์ที่ 28 พ.ย. ครึ่งวันหลัง เนื่องในวัน Thanksgiving ขณะที่สัปดาห์นี้ไม่มีถ้อยแถลงจากกรรมการเฟด

✅สำหรับปัจจัยต่างประเทศ แนะนำให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ที่ตลาดคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 25 bps จาก 2.50% สู่ 2.25%, อัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวที่คาดว่าจะกลับมาชะลอตัวลง และตัวเลข GDP 3Q25 ของอินเดียที่ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลงจาก 7.8% สู่ 7.2% ด้านผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนให้ติดตามหุ้นจีนอย่าง Alibaba และ Meituan เป็นสำคัญ ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ให้ติดตามรายงานงบของ Dell, Zscaler, HPQ, Best Buy และ Deere & Co

✅เราประเมินว่าการที่ตลาดเข้าสู่ภาวะ risk off มาจากประเด็น Macro Concern เป็นหลัก หลังเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ Nvidia เผยผลประกอบการดีกว่าคาด สะท้อนถึงการ ramp ขึ้นของยอดขาย Blackwell Ultra ที่มีสัดส่วน 2/3 ของ Blackwell ทั้งหมด ทำให้รายได้ของ Nvidia กลับสู่การเติบโตแบบ Acceleration อีกครั้ง และมีโอกาสที่จะถูก Re-rating PER ขึ้นได้ จากที่ซื้อขายอยู่ที่ -1.2SD บน Forward PER 5 ปี (PER 26 เท่า) (Data as of Nov 20, 2025) เราจึงคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้น สำหรับ Core Equity Portfolio เราแนะนำสะสมหุ้นโลก (K-GSELECTU-A(A)) ในช่วงที่ S&P 500 อยู่ในกรอบ 6,370 – 6,600 ส่วน Core Fixed Income Portfolio แนะนำลงทุน UGISFX-N เมื่อ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ 4.20%

✅ด้าน Satellite Portfolio 12 เดือน แนะนำลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ (KKP TECH-UH) ที่ขณะนี้หุ้นเทคสหรัฐฯ ลงมาซื้อขายที่ +0.45SD บน Forward PER 5 ปี (Data as of Nov 20, 2025), หุ้นญี่ปุ่น (K-JP-A(D)) ที่เรามีมุมมองที่ดีในระยะยาว โดยล่าสุด ครม. ได้อนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจราว 21.3 ล้านล้านเยน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหุ้นอินเดีย (MINDIA) ที่เราคาดว่าหุ้นอินเดียจะกลับมา Outperform ได้ในปีหน้า หลังกำไรถูกปรับประมาณการขึ้นอย่างโดดเด่น และเงินเฟ้อชะลอตัวลงหนุน RBI ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมใน 4Q25 และสำหรับ Satellite Portfolio 3-6 เดือน แนะนำลงทุน ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาท โดยมองว่าควรทยอยสะสมเมื่อเงินบาทอยู่ในกรอบ 32–33 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เป้าหมายทำกำไรจะอยู่เมื่อเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ และตั้งจุดตัดขาดทุนหากเงินบาทแข็งค่ากว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์

💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧

1️⃣ 𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

✅𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวลง -3.72% ซึ่งเป็นการปรับตัวลง 3 สัปดาห์ติดต่อกัน จากความกังวลที่เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. หลังตัวเลขตลาดแรงงานยังไม่อ่อนแอมากนัก อีกทั้งข้อมูลใหม่จะมาภายหลังจากการประชุม FOMC อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ Nvidia ที่ดีกว่าคาด กลับเข้าสู่ Acceleration phase เตรียม ramp up แรงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสหน้า โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ -1.2SD ส่วน Nasdaq ซื้อขายที่ -0.5SD ซึ่งหากดูตามปัจจัยพื้นฐานจะเห็นได้ว่ายังไม่มีภาวะฟองสบู่ในหุ้นเทคฯ ใหญ่

✅สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ให้ติดตามผลประกอบการของ Dell และ HPQ และตัวเลข Macro ของสหรัฐฯ เราคงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) ในจังหวะที่มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า

✅𝐊-𝐉𝐏-𝐀(𝐃): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix -1.85% จากการ Priced out โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงข้อพิพาทรัฐบาลญี่ปุ่นและจีน ในประเด็นไต้หวัน อย่างไรก็ตามในวันศุกร์ดัชนี Topix เริ่มยืนได้หลังครม. อนุมัติแพ็กเกจเศรษฐกิจชุดใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 21.3 ล้านล้านเยน นับเป็นมาตรการใหญ่ที่สุดหลังยุคโควิด

✅สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว และพัฒนาการข้อพิพาทกับจีน เราคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

✅𝐌𝐈𝐍𝐃𝐈𝐀: กองทุนหุ้นอินเดีย ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Jupiter India Select Fund เน้น Bottom-up ลงทุนประมาณ 60–80 บริษัท โดยดัชนี Nifty 50 +0.61% ขึ้นทดสอบระดับ all-time high ในระหว่างสัปดาห์ จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับมาหลัง Global brokerages ปรับอินเดียขึ้นเป็น Overweight

✅สำหรับอินเดีย สัปดาห์นี้ให้ติดตาม ความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และตัวเลข GDP 3Q25 เราแนะนำซื้อ โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)

✅𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 20 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.65% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

✅เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD

2️⃣ 𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

✅𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวลง -1.49% หลังตลาดปรับมุมมองว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ทำให้เกิดภาวะ risk off ต่อตลาดหุ้น

✅เราแนะนำให้ Let profit run โดยสัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข PPI, Retail Sales และ Initial Jobless Claims

KS-FUND-WEEKLY-1200x1200.jpg

📲เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund

⛳Follow us :

📲 LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA

📲 Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook

📲 Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram

📲 Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter

📲 YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube

📲 Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads

#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต

ค้นหา