KS: KS FUND TOP PICK 17 - 21 พ.ย. 2025

KS: KS FUND TOP PICK 17 - 21 พ.ย. 2025

วิเคราะห์โดย KS Research Strategy
17 พ.ย. 2568
ย้อนกลับ

KS: KS FUND TOP PICK 17 - 21 พ.ย. 2025

จับตาท่าทีกรรมการเฟด หลังตัวเลขจ้างงานกลับมา พร้อมจับกระแส AI Bubble ผ่านงบ Nvidia

✅สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ยังคงเคลื่อนไหวด้วยความผันผวน โดยเปิดสัปดาห์ค่อนข้างสดใสจากความคาดหวังว่า U.S. Government Shutdown ที่ยืดเยื้อจะได้รับการแก้ไข หลังวุฒิสภามีความคืบหน้าในการผลักดันร่างงบประมาณชั่วคราว และสุดท้ายประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ ส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงในระบบน่าจะคลี่คลายและหน่วยงานรัฐกลับมาเดินหน้าได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจของตลาดเริ่มลดลงในช่วงกลางสัปดาห์ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อประจำเดือน ต.ค. อาจยังไม่สามารถเผยแพร่ได้ทันตามกำหนด จากผลกระทบของการปิดทำการที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์ (43 วัน) ทำให้ตลาดเริ่มพูดถึง “data fog” หรือภาวะการขาดข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการประเมินเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน กรรมการเฟดหลายรายต่างออกมาส่งสัญญาณในเชิงระมัดระวัง (hawkish) ไม่ว่าจะเป็น Alberto Musalem (Fed St. Louis) ที่เตือนว่าพื้นที่ในการลดดอกเบี้ยเหลือจำกัดและควรรอข้อมูลมากกว่านี้, Susan Collins (Fed Boston) เน้นว่าควรรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเงินเฟ้อและการจ้างงาน, Beth Hammack (Fed Cleveland) แสดงจุดยืนชัดว่ายังไม่พร้อมลดดอกเบี้ย เว้นแต่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ, ส่วน John Williams (Fed New York) และ Raphael Bostic (Fed Atlanta) ต่างย้ำว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังไม่หมดไปและต้องการเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ชัดเจนก่อนปรับนโยบาย ส่งผลให้ตลาดเร่งปรับความคาดหวังเกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือน ธ.ค. เหลือเพียง 45% จากต้นเดือน พ.ย. ที่เคยอยู่ที่ 70% และกลางเดือน ต.ค. ที่ตลาดมั่นใจถึง 94% ทำให้ภาพรวมทั้งสัปดาห์เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน จากประเด็น “data fog” และเส้นทางนโยบายดอกเบี้ยที่ยังขาดความชัดเจน

✅ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวด้วยความผันผวนที่สูงมาก ภาพเป็นลักษณะของการรีบาวด์แรงในช่วงต้นสัปดาห์ รับข่าวดีจากการคลี่คลายปัญหา Shutdown ก่อนจะปรับตัวลงแรงในช่วงกลางสัปดาห์จากการ Price out โอกาสของการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่แล้วในคืนวันศุกร์ก็ได้มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่ม Technology จนทำให้ดัชนี S&P 500 มีการรีบาวด์หลังจากช่วงต้น Session ตลาดเปิด Gap down -90 จุด (6,740 > 6,650) ก่อนจะยกกลับ 90 จุด มาปิดที่ใกล้เคียงเดิม ทำให้แต่ละดัชนีปิดสัปดาห์ด้วยผลตอบแทนที่ผสมผสาน โดย Dow Jones +0.34% (ขึ้นทำ all-time high ได้ระหว่างสัปดาห์) และ S&P 500 +0.08% ขณะที่ Nasdaq Composite -0.45% และ Russell 2000 -1.83% จากแรงขายในหุ้นกลุ่ม Growth และ Small cap ที่ค่อนข้างแรง แม้จะลดช่วงลบได้เล็กน้อยในวันศุกร์ โดยตลาดจะรอติดตามผลประกอบการของ Nvidia ในสัปดาห์นี้ ที่อาจเป็น Game changer ในยามที่ปัจจัยมหภาคยังเป็นตัวกดดัน

✅สำหรับตลาดหุ้นอื่นๆ แม้ภาพทั้งสัปดาห์อาจเป็นบวก แต่ส่วนมากมาเสียโมเมนตัม และปรับตัวลงแรงในวันศุกร์ จากแรงกดดันของการ Price out การลดดอกเบี้ยของเฟด ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei +0.20% และ Topix +1.85%) โดย Topix ปรับตัวขึ้นทำ all-time high รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เตรียมเข้า ครม. ในวันที่ 21 พ.ย. โดยจะเน้นดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ AI เทคโนโลยีพลังงานใหม่ และการผลิตขั้นสูง รวมถึงการประสานงานกับธนาคารกลาง (BOJ) จะช่วยสร้างเสถียรภาพและหนุนเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่นโยบายระยะสั้นก็ได้เตรียมลดค่าครองชีพเพื่อกระตุ้นการบริโภค ด้านตลาดหุ้นยุโรป (Stoxx 600 +1.77%) ที่ขึ้นทำ all-time high รับกระแส DM Rotation ในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญ Macro concern

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนมีทิศทางที่แตกต่างกัน โดย ดัชนี CSI 300 (-1.08%) ปรับตัวลง จากตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ไม่ว่าจะเป็นราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม การบริโภค และการลงทุน ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ สะท้อนมาตรการต่างๆ เริ่มหมดแรงส่ง ด้าน HSCEI (+1.41%) ปรับตัวขึ้น จากกลุ่ม Non-tech ขณะที่หุ้นเทคใหญ่อย่าง Tencent ผลประกอบการยังแข็งแกร่งมาก แต่ JD มีการเติบโตของรายได้ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จากมาตรการ Trade-in ที่ส่งผลน้อยลง ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นต่อเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจส่งอาหาร กด Margin ให้อยู่ใกล้ 0% ด้านตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty 50 +1.64%) มีความทนทานต่อกระแส Global macro ค่อนข้างดี โดยสามารถปิดบวกได้ทุกวันในสัปดาห์ที่แล้ว จากกำไรบริษัทที่ถูกปรับประมาณการขึ้น (Narrative เปลี่ยนจากการถูก Downgrade ไปเป็น Upgrade Earnings), ดีลการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีความคืบหน้า และเงินเฟ้อที่ชะลอตัวทำระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนให้ RBI ลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี

✅สัปดาห์นี้ เรามองปัจจัย Macro อยู่ที่การกลับมารายงานตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เดือน ก.ย. ช่วงค่ำวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. โดยรอบนี้จะยังไม่มีรายงานฝั่ง Household survey อย่างตัวเลข Unemployment rate อีกปัจจัยที่สำคัญคือ รายงานการประชุม FOMC, ถ้อยแถลงของกรรมการเฟดที่น่าจะคงส่งผลในเชิงลบต่อตลาด, ตัวเลข PMI ทั้ง Manufacturing และ Services รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ด้านประเทศอื่นๆ ให้ติดตาม GDP 3Q25 การส่งออกของญี่ปุ่น ตลอดจนมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินราว ¥17 ล้านล้านเยน ที่คาดว่าจะให้ ครม. อนุมัติในวันที่ 21 พ.ย. 2025 สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่เหลือให้ติดตาม PMI ของญี่ปุ่น ยุโรป และอินเดีย

ด้านผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ให้ติดตามงบของ Nvidia ที่จะมาเป็นตัวกำหนด Sentiment ในภาพรวมของหุ้นกลุ่ม AI โดยให้โฟกัสไปที่ Guidance รายได้ใน 4Q25 และรายละเอียดของ Order มูลค่า $500 bn ที่ CEO กล่าวไว้ที่งาน GTC ล่าสุด พร้อมติดตามผลประกอบการของหุ้นค้าปลีกอย่าง Walmart, Target, Home Depot, TJX และ Ross Stores ที่จะมาเป็นตัวบ่งชี้ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่ตัวเลข Macro เบาบาง ด้านหุ้นจีนให้ติดตามผลประกอบการของ Xiaomi, Baidu, PDD, Xpeng, Trip, Geely, Kuaishou, Lenovo และ NetEase

✅เราคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น และแนะนำให้ใช้จังหวะที่ตลาดหุ้นปรับฐานจากความกังวลด้าน Macro ในการเข้าลงทุน โดยมอง S&P 500 ที่ 6,590 – 6,620 จุด เป็นกรอบสะสมที่น่าสนใจ เราเชื่อว่าหากการลดดอกเบี้ยกลับมาชัดเจนมากขึ้น จะทำให้ตลาดกลับมาปรับตัวขึ้นได้ โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ผลประกอบการ 3Q25 ที่แข็งแกร่ง Earnings Growth 11.5%, Earnings Surprise 6.7% และเราคาดว่าผลประกอบการของ Nvidia จะออกมาน่าประทับใจ หลังจากข้อมูลใหม่ใน AI Supply Chain ยังออกมาแข็งแกร่ง ทั้งรายได้เดือน ต.ค. ของ TSMC ที่ทำได้แล้ว 37% จากเป้าที่ตั้งไว้ใน 4Q25 รวมถึงการที่ AMD ปรับเพิ่มขนาดของตลาด (TAM) AI จาก $500 bn เป็น $1 tn บ่งชี้ความต้องการสูงขึ้นมากจากคาดการณ์เดิม และงบ 3Q25 Foxconn มียอดส่งมอบ AI Server โต 300% QoQ และคาดว่า 4Q25 จะมีโต double-digit QoQ

สำหรับ Core Equity Portfolio เราแนะนำสะสม Position หุ้นโลกผ่านกองทุน K-GSELECTU-A(A) ส่วน Core Fixed Income Portfolio แนะนำลงทุน UGISFX-N เมื่อ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ 4.20% ด้าน Satellite Portfolio 12 เดือน แนะนำลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ (KKP TECH-UH), หุ้นญี่ปุ่น (K-JP-A(D) ที่เรามีมุมมองที่ดีในระยะยาว จากการเปลี่ยนโครงสร้างเงินฝืดเป็นเงินเฟ้อ เร่งการบริโภคในประเทศ รัฐบาลเตรียมดันนโยบายกระตุ้นเข้า ครม. ในวันที่ 21 พ.ย. และหุ้นอินเดีย (MINDIA) ที่เราคาดว่าหุ้นอินเดียจะกลับมา Outperform ได้ในปีหน้า หลังกำไรถูกปรับประมาณการขึ้นอย่างโดดเด่น และเงินเฟ้อชะลอตัวลงหนุน RBI ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมใน 4Q25 และสำหรับ Satellite Portfolio 3-6 เดือน แนะนำลงทุน ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาท โดยมองว่าควรทยอยสะสมเมื่อเงินบาทอยู่ในกรอบ 32–33 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เป้าหมายทำกำไรจะอยู่เมื่อเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ และตั้งจุดตัดขาดทุนหากเงินบาทแข็งค่ากว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์

💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧

1️⃣ 𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

✅𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวลง -0.75% จากการที่ตลาดปรับลดโอกาสในการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธ.ค. และการปรับตัวลงของหุ้น Oracle -6.86% ที่เป็นตัวฉุดหลัก จากความกังวลที่ CDS (Credit Default Swaps) ปรับตัวสูงขึ้นไปที่ 103 bps จากราว 86 bps ในสัปดาห์ก่อนหน้า และ 69 bps ในเดือนที่แล้ว

✅สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ให้ติดตามผลประกอบการของ Nvidia ที่อาจเห็นการเติบโตของรายได้กลับเข้าสู่ Acceleration phase ได้อีกครั้ง เราคงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) ในจังหวะที่มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า

✅𝐊-𝐉𝐏-𝐀(𝐃): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix +1.85% ทำ all-time high หลังรัฐบาลเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุม ครม. วันที่ 21 พ.ย. นี้ รวมถึงผลประกอบการหุ้นที่ดีของหุ้น Sony และกลุ่มธนาคาร (รายงานหลังตลาดปิดวันศุกร์) ทั้ง MUFG, SMFG และ Mizuho ต่างมีกำไรมากกว่าคาด จากภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและกิจกรรมทางธุรกิจที่คึกคักมากขึ้น โดยทั้งสามธนาคารปรับเพิ่ม Guidance ขึ้นใน FY26

✅สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข GDP 3Q25 และการส่งออก ตลอดจนแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจราว ¥17 ล้านล้านเยน ที่คาดว่า ครม. จะอนุมัติในวันที่ 21 พ.ย. 2025 เราคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

✅𝐌𝐈𝐍𝐃𝐈𝐀: กองทุนหุ้นอินเดีย ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Jupiter India Select Fund เน้น Bottom-up ลงทุนประมาณ 60–80 บริษัท โดยดัชนี Nifty 50 +1.64% หลังอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ชะลอตัวลงเหลือ 0.25% YoY ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลักๆ มาจากราคาอาหาร -5.02% จากสภาพอากาศที่ดี ส่งผลให้การผลิตฟื้นตัวดี รวมถึง Goods inflation ที่ชะลอตัวลงจากการปรับโครงสร้างอัตรา GST ซึ่งเปิดทางให้ RBI ใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค. 2025

✅สำหรับอินเดีย สัปดาห์นี้ให้ติดตาม ความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และตัวเลข Manufacturing และ Services PMI เราแนะนำซื้อ โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)

✅𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 20 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.65% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

✅เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

2️⃣ 𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

✅𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวลง -0.63% หลังตลาดปรับมุมมองว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ทำให้เกิดภาวะ risk off ต่อตลาดหุ้น

KS-FUND-WEEKLY-1200x1200.jpg

✅เราแนะนำให้ Let profit run โดยสัปดาห์นี้ให้ติดตามการรายงานตัวเลขการจ้างงาน และถ้อยแถลงของกรรมการเฟด

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund

Follow us :

LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA

Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook

Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram

Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter

YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube

Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads

#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต

ค้นหา