KS: KS FUND TOP PICK 10 - 14 พ.ย. 2025

KS: KS FUND TOP PICK 10 - 14 พ.ย. 2025

วิเคราะห์โดย KS Research Strategy
10 พ.ย. 2568
ย้อนกลับ

KS: KS FUND TOP PICK 10 - 14 พ.ย. 2025

โอกาสเติมของ ตลาดปรับฐานจาก Macro Concern, Reality Check ผลประกอบการหุ้นจีน

- สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นโลก (ACWI) เปิดเดือน พ.ย. ด้วยการปรับฐาน จากความกังวลหลากหลายประการ ทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของเฟดที่ยังไม่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ขณะที่คณะกรรมการเฟดหลายรายยังคงแสดงความกังวลต่อเงินเฟ้อและใช้โทนคำพูดแบบ Hawkish ซึ่งยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจให้ตลาด ประกอบกับภาวะ Government shutdown ที่ลากยาวเป็นสัปดาห์ที่ 6 ส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวล่าช้า และทำให้รัฐบาลไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ ทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจลดลง

นอกจากนี้ตลาดยังต้องจับตาความคืบหน้าของการไต่สวนของศาลฎีกาสหรัฐฯ กรณีอำนาจของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการตั้งกำแพงภาษีแบบ “reciprocal tariffs” ว่าถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะมีคำตัดสินภายในสิ้นปี 2025 ด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาให้ภาพที่ผสมผสาน การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เดือนตุลาคมขยายตัวเพียง 42,000 ตำแหน่ง แม้จะดีกว่าคาดเล็กน้อย ขณะที่รายงาน Challenger ระบุว่าการปลดพนักงานพุ่งขึ้น 153,000 ราย สูงสุดในรอบ 7 เดือน ส่วน ISM Services ขยายตัวมาที่ 52.4 จุดสูงสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ภาคการผลิตยังซบเซาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างออกมาเตือนถึงโอกาสที่ตลาดจะเกิดการปรับฐานรุนแรงถึง 10-20% ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึง Narrative เรื่อง Valuation ที่ตึงตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI หลังจาก Palantir รายงานผลประกอบการที่แม้ออกมาดีกว่าคาดอย่างมาก แต่จาก Guidance รายได้ใน 4Q25 การทำให้การเติบโตชะลอตัวลงจาก 63% เหลือ 61% ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงขายในหุ้นบิ๊กเทคฯ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ โดย Michael Burry ได้ออกตัวว่ามี short position ใน Palantir และ Nvidia

- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงทั้ง 4 ดัชนี ได้แก่ Dow Jones (-1.21%), S&P 500 (-1.63%), Nasdaq Composite (-3.04%) ลงรายสัปดาห์มากสุดตั้งแต่ Liberation Day และ Russell 2000 (-1.88%) แต่ในรายละเอียดมีหุ้น 7 Sectors ที่ปรับตัวขึ้นได้ นำโดย Energy (+1.48%) และ Healthcare (+1.29%) ปรับตัวขึ้นได้ดีที่สุด จาก Eli Lilly (+7.13%) ที่ตอบรับผลประกอบการที่ดี ต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่แรงขายเข้ามาในกลุ่ม Growth อย่าง Technology (-4.24%), Communication services (-1.74%) และ Consumer discretionary (-1.55%) จากแรงกดดันในภาพของ Macro

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการเชิงบวกของกลุ่มเทคฯ ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเฉพาะตัว ได้แก่ การที่ Microsoft ประกาศดีลใหญ่กับ IREN มูลค่า $9.7 bn สำหรับบริการ Cloud ที่ใช้ Nvidia GB300 รวมถึงการได้รับอนุมัติส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังโครงการใน UAE ได้, Amazon ขึ้นทำ all-time high หลัง OpenAI ประกาศใช้ AWS มูลค่ากว่า $38 bn, ด้าน Google ขึ้นทำ all-time high หลัง Apple เตรียมจ่ายเงินปีละ $1 bn เพื่อใช้โมเดล AI ในการอัปเกรด Siri อีกทั้ง Google ยังเตรียมประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในเยอรมนีสำหรับ Data center ในวันที่ 11 พ.ย. นี้, AMD ที่รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด และเตรียมปรับ TAM ในตลาด AI ขึ้นจากที่เคยคาดไว้ $500 bn และกลุ่ม Storage อย่าง Micron, Seagate, Western Digital, SanDisk ที่ปรับตัวขึ้นจากกระแสตลาดคาดว่ารอบสัญญาใหม่ของ DDR5 จะปรับราคาแพงขึ้นหลัง Samsung เลื่อนเซ็นสัญญา หรือแม้แต่พัฒนาการเชิงบวกของ Government shutdown ที่วุฒิสภาฝ่ายเดโมแครต ยอมลดข้อเรียกร้อง จากเดิมที่ผลักดันแพ็กเกจสวัสดิการสุขภาพที่ครอบคลุมหลายประเด็น เหลือเพียงแค่ขอให้ต่ออายุเงินอุดหนุน/เครดิตภาษีประกันสุขภาพภายใต้ ACA (Affordable Care Act) ที่กำลังจะหมดอายุ “ออกไป 1 ปี” เท่านั้น เพื่อแลกกับการโหวตเปิดรัฐบาล ถึงแม้ฝ่ายรีพับลิกันยังคงปฏิเสธข้อเสนอ แต่การที่ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอครั้งนี้ ทำให้ S&P 500 รีบาวด์ขึ้นแรงในคืนวันศุกร์ โดยดัชนีร่วงลงก่อนราว 90 จุด จาก 6,720 ไปที่ 6,630 ก่อนยกกลับ 100 จุดมาปิดที่ 6,730

- สำหรับตลาดหุ้นอื่นๆ ภาพรวมเป็นการปรับตัวลง โดยเฉพาะดัชนีที่มีหุ้นเทคฯ ในสัดส่วนที่สูงอย่างญี่ปุ่น (Nikkei -4.07%), เกาหลีใต้ (Kospi -3.74%) และไต้หวัน (TWSE -2.06%) ตามแรงขายหุ้นเทคทั่วโลก ขณะที่ Topix -0.99% เท่านั้น หุ้นยุโรป (Stoxx 600 -1.24%) โดยหลักๆ ลดลงจากหุ้นเทคฯ, สินค้าหรูหรา และกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.00% พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยังไม่รีบลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังกลับสู่เป้าหมาย 2%

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยทั้ง CSI 300 (A-Shares +0.82%) และ HSCEI (H-Shares +1.08%) จากกลุ่มธนาคาร และเซมิคอนดักเตอร์หลังทางการจีนสั่งห้ามศูนย์ข้อมูลที่ได้รับทุนจากรัฐใช้ชิป AI จากต่างประเทศ รวมถึงชิปของ Nvidia (H20, B200, H200), AMD และ Intel โดยโครงการใหม่ต้องใช้ชิปในประเทศเท่านั้น ขณะที่โครงการที่ดำเนินการไปแล้วต่ำกว่า 30% ต้องถอดชิปต่างชาติออก นโยบายนี้ส่งเสริมผู้ผลิตชิปในประเทศอย่าง Huawei, Cambricon และ MetaX

- สัปดาห์นี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้ง CPI, PPI, Initial Jobless Claims และ Retail Sales อาจยังคงถูกเลื่อนการรายงานจากภาวะ Government shutdown ส่งผลให้ปัจจัยมหภาคในตลาดอาจเบาบางลงกว่าปกติ แต่เราคาดว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับความคืบหน้าด้านการเจรจาในการกลับมาเปิดทำการของภาครัฐ และถ้อยแถลงของกรรมการเฟด ซึ่งในระยะหลังมีแนวโน้มออกมาในโทน Hawkish จากการที่ไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ ทำให้แรงกดดันต่อตลาดมีโอกาสเพิ่มขึ้น ในขณะที่ฝั่งจีน นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ราคาบ้าน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนสินทรัพย์ถาวร สำหรับมุมมองฝั่ง Micro สัปดาห์นี้เรามองว่าสำคัญมาก และอาจเป็นปัจจัยบวกมาหนุน Sentiment ในช่วงนี้ได้ ซึ่งเราแนะนำให้ติดตามผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ทั่วโลก เช่น CoreWeave, Nebius, Applied Materials, Camtek, Hon Hai, Wistron, Quanta Computer และ Inventec ตลอดจนงาน Financial Analyst Day ของ AMD ซึ่ง Lisa Su จะนำเสนอวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ โอกาสการเติบโต โรดแมปเทคโนโลยี และแผนการเงินระยะยาวของบริษัท รวมถึงการเปิดเผยรายได้เดือนตุลาคมของ TSMC 

นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์สำคัญจากการรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ จีนอย่าง Tencent, Alibaba, Meituan, JD, SMIC และ Bilibili ซึ่งเรามองเป็น “Reality check” ระหว่าง Earnings quality และ Valuation ว่ามีความสมน้ำสมเนื้อมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการประกาศงบของบริษัทญี่ปุ่น อาทิ Sony, SoftBank Group, MUFG, SMFG, Mizuho และ Asics

- เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ตามภาพของผลประกอบการ 3Q25 ของบริษัทสหรัฐฯ ที่ออกมาแล้วราว 90% มีกำไรโต 11.8% ซึ่งมากกว่าคาด 6.7% โดยเป็นการเติบโตแบบกระจายตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังรายงานงบ นอกจากนี้เองเรามองว่าปัจจัยมหภาคจะเป็นตัวกดดันชั่วคราวเท่านั้น จากภาวะ Government shutdown ซึ่งหากคลี่คลาย จะทำให้รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบและทำให้สภาพคล่องกลับมาดีขึ้น รวมถึงจะทำให้เฟดกลับมาส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้น

เราแนะนำอาศัยจังหวะที่ตลาดหุ้นโลกปรับฐาน ในการสะสม Position อย่าง K-GSELECTU-A(A) สำหรับ Core Portfolio และหุ้นเทคสหรัฐฯ (KKP TECH-UH) โดยเราประเมินกรอบ S&P 500 ที่ 6,590 – 6,620 จุด, หุ้นญี่ปุ่น (K-JP-A(D)) ที่เรามีมุมมองที่ดีในระยะยาว จากการเปลี่ยนโครงสร้างเงินฝืดเป็นเงินเฟ้อ เร่งการบริโภคในประเทศ และหุ้นอินเดีย (MNDIA) ที่เราคาดว่าหุ้นอินเดียจะกลับมา Outperform ได้ในปีหน้า หลังผลประกอบการมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุด หนุนโดยอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง และนโยบาย GST กระตุ้นการบริโภค, ตราสารหนี้โลก (UGISFX-N) เมื่อ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ 4.20% และ ONE-FFI ที่เป็น Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน สำหรับเก็งกำไรจากค่าบาท เราแนะนำทยอยสะสมเมื่อค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 32-33 บาท/ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายในการทำกำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ และกำหนดจุดตัดขาดทุนเมื่อเงินบาทแข็งค่ากว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์

𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧

𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

- 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวลง -3.80% จากความกังวลในด้าน Macro ทั้ง Government shutdown ที่ยาวนาน, ความเห็นเชิง Hawkish ของเฟด และคำเตือนการปรับฐานของผู้บริหาร Goldman Sachs และ Morgan Stanley

- สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ติดตามผลประกอบการของ CoreWeave, Nebius, Applied Materials, Camtek, Hon Hai, Wistron, Quanta Computer และ Inventec ตลอดจนงาน Financial Analyst Day ของ AMD รวมถึงรายได้เดือนตุลาคมของ TSMC เราคงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) ในจังหวะที่มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า

- 𝐊-𝐉𝐏-𝐀(𝐃): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix -0.99% ปรับฐานตาม risk off sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ Toyota รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ และกำไรในปีงบประมาณ 2026 ขึ้น

- สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามผลประกอบการของ Sony, SoftBank Group, MUFG, SMFG และ Mizuho เรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

- 𝐌𝐈𝐍𝐃𝐈𝐀: กองทุนหุ้นอินเดีย ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Jupiter India Select Fund เน้น Bottom-up ลงทุนประมาณ 60–80 บริษัท โดยดัชนี Nifty 50 -0.89% ตามความกังวลด้าน Global macro ขณะที่ Bharti Airtel ผลประกอบการดีกว่าคาดจากโดยเฉพาะ ARPU มือถือและเน็ตบ้านที่โตดี แต่หุ้นเผชิญแรงกดดันจาก Singtel รายงานการขายหุ้น, State Bank of India งบดีกว่าคาด สินเชื่อใหม่โต หนี้เสียลดลง

- สำหรับอินเดีย ให้ติดตามการเดินทางไปเยือนอินเดียของโดนัลด์ ทรัมป์ ตามคำเชิญนเรนทรา โมดี ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายทางการค้า และตัวเลขเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อ เราแนะนำซื้อ โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน) 

- 𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 27 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.83% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

- เราปรับคำแนะนำให้กลับมาเข้าลงทุนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับเข้ามาในกรอบ 32 – 33/USD โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD

𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

- 𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น +0.77% จากแรงหนุนหุ้นกลุ่มประกัน และแรงรีบาวด์จากความหวัง Shutdown reopening หลังพรรคเดโมแครตยื่นข้อเสนอที่อ่อนลง แม้จะยังโดนรีพับลิกันปฏิเสธก็ตาม

- เราแนะนำให้ Let profit run โดยสัปดาห์นี้ให้ติดตามความคืบหน้า Shutdown reopening และถ้อยแถลงของกรรมการเฟด

KS-FUND-TOP-PICK_1200x1200.jpg

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund

Follow us :

LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA

Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook

Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram

Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter

YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube

Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads

#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต

ค้นหา