Mutual Fund

SSF และ RMF เครื่องมือลงทุนพร้อมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี

เมื่อเข้าใกล้ช่วงสิ้นปี 2564 หนึ่งในเรื่องสำคัญที่เราจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ เลยคือเรื่อง “วิธีการลดหย่อนภาษี” เพราะว่าการที่เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้จะทำให้เรามีกระแสเงินสดในมือมากขึ้น ซึ่งเราจะสามารถนำกระแสเงินสดในส่วนนี้ไปลงทุนเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินด้านอื่นๆ ได้เร็วขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นเงินแต่งงาน การศึกษาบุตร บ้านหลังใหม่)
หนึ่งในคำถามยอดฮิตคือ เรายอมเสียภาษีเพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมด้วยตนเองดีกว่าไหม? อย่างไรก็ดีเราอาจจะลืมนึกไปว่าทำไมถึงไม่เลือกที่จะลงทุนไปพร้อมๆ กับการประหยัดภาษีไปพร้อมๆ กัน

รู้จักกองทุน SSF
กองทุน SSF (Super Saving Funds) คือ กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ โดยเน้นลดหย่อนแบบปีต่อปี ลงทุนปีไหน สามารถลดหย่อนได้ในปีนั้น (ระยะเวลาปี 2563 – 2567)
SSF ลงทุนในอะไรบ้าง: ลงทุนได้ทุกประเภทสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่นักลงทุนควรรู้: นำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
ระยะเวลาถือครอง: 10 ปีขึ้นไป นับจากวันลงทุน

รู้จักกองทุน RMF
กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund): “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นกองทุนที่ส่งเสริมให้มีการออมเงินในระยะยาวเพื่อใช้จ่ายในยามเกษียณ
RMF ลงทุนในอะไรบ้าง: ปัจจุบันลงทุนได้ทุกประเภทสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่นักลงทุนควรรู้: นำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี แต่หากรวม PVD, SSF, ประกันบำนาญ นำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 500,000 บาท
ระยะเวลาถือครอง: ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง และอายุครบ 55 ปี

เงื่อนไขในการลงทุน SSF + RMF:
กองทุนประหยัดภาษีอย่าง SSF และ RMF ต้องนำมาคิดรวมกับกองทุนกลุ่มเกษียณ เช่น กองทุนบำนาญ กองทุน Provident Fund ที่มีเพดานนำมาใช้ลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 500,000 บาท
สามารถปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ เพื่อทำ Portfolio Rebalance ได้