KS FUND TOP PICK 25 - 29 ส.ค. 2025

.jpg)
KS FUND TOP PICK 25 - 29 ส.ค. 2025
Powell ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย. หนุนหุ้นโลก All time high สัปดาห์นี้จับตางบ Nvidia ตัวกำหนด Sentiment หุ้น AI
• ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ปรับตัวขึ้นทำ All Time High ได้อีกครั้งหลังผ่านช่วงความผันผวนในระหว่างสัปดาห์ ช่วงต้นสัปดาห์ตลาดเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ประกอบกับความกังวลนโยบายภาษีของ Donald Trump ที่เตรียมขยายขอบเขตภาษีเหล็กและอลูมิเนียมไปยังสินค้าผู้บริโภคกว่า 400 รายการ พร้อมตั้งภาษีชิปสูงสุด 100-300% เพื่อกดดันให้บริษัทย้ายฐานผลิตกลับสหรัฐฯ อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเงินอุดหนุนจาก CHIPS Act ให้กลายเป็นหุ้นในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่รับเงินสนับสนุน ทำให้ตลาดเกิดความกังวลเรื่องการแทรกแซงความเป็นอิสระของบริษัท
บรรยากาศการลงทุนในกลุ่ม AI/Tech ยิ่งได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจาก Sam Altman ของ OpenAI ที่เตือนถึงความเสี่ยง "AI Bubble" ทำให้เกิดแรงขายใน Palantir, Nvidia, AMD, Broadcom และหุ้นชิปอื่นๆ ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปรับฐานแรง รวมถึงตลาดหุ้นเอเชียที่มีหุ้นเทคในสัดส่วนสูงอย่าง Nikkei, TWSE และ Kospi
• จุดเปลี่ยนสำคัญของสัปดาห์มาจากคำแถลงของ Jerome Powell ในงาน Jackson Hole Symposium ที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย โดยระบุว่าความเสี่ยงของเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนไป ตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัว ขณะที่เงินเฟ้อแม้จะถูกกดดันจาก Tariff ให้สูงขึ้น แต่เฟดยังคาดว่าเป็นเพียงภาวะชั่วคราว ท่ามกลางสถานการณ์นี้ เฟดจึงอาจต้องปรับนโยบาย (“The baseline outlook and the shifting balance of risks may warrant adjusting our policy stance”) พร้อมยกเลิกการยึดติดกับเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย 2% และเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการพิจารณาทั้งตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างสมดุลยิ่งขึ้น
การปราศรัยนี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมารีบาวด์แรง โดย Dow Jones พุ่งขึ้นทำ All Time High, S&P 500 พลิกจากลบเป็นบวกในสัปดาห์ที่ผ่านมา, Nasdaq Composite ลดช่วงลบลงได้ค่อนข้างมาก และ Russell 2000 ปรับตัวขึ้นแรงและทำ New High ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่ม Value เช่น ค้าปลีกเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะ Home improvement อย่าง Home Depot และ Lowe's ที่ Same Store Sales Growth กลับมาเป็นบวก รวมถึง TJX และ Ross Stores ค้าปลีกแบบ Off-price ที่ได้รับอานิสงค์จากเทรนด์ผู้บริโภคซื้อของลดราคามากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพ ขณะที่ Walmart แม้งบจะออกมาค่อนข้างดี รายได้และ SSSG มากกว่าคาด ปรับมุมมองการเติบโตรายได้ปีนี้ขึ้น แต่คงเป้าหมายการโตของกำไรจากต้นทุนที่สูงขึ้น โดย CEO ระบุว่าเห็นต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์เมื่อเติมสต็อกสินค้า
• ในภูมิภาคเอเชีย ตลาดเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป ตลาดหุ้นอินเดียโดดเด่นสวนทางจากการที่รัฐบาลเตรียมปรับโครงสร้างภาษี Goods and Services Tax (GST) ครั้งใหญ่ โดยลดจำนวนอัตราภาษีจากเดิม 4 ช่วง (5%, 12%, 18%, 28%) เหลือเพียง 2 ช่วง คือ 5% และ 18% เพื่อกระตุ้นการบริโภคและลดความซับซ้อนของระบบภาษี ส่วนตลาดหุ้นจีนแสดงความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน โดย CSI 300 ปรับตัวขึ้นทำ New High จากแรงหนุนหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้อานิสงค์เชิงบวกจากการที่ Nvidia ให้ Supplier หยุดการผลิตชิป H20 หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณไม่สนับสนุนและกดดันบริษัทในประเทศให้เลิกใช้ชิปดังกล่าว
ในขณะที่ H-Shares ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากหุ้น EV ที่ปรับตัวขึ้นแรงรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Xpeng ที่ทำสถิติส่งมอบรถยนต์สูงสุดที่ 103,181 คัน เพิ่มขึ้นถึง 242% YoY และตั้งเป้ามีกำไรใน 4Q25 ขณะที่แรงฉุดมาจากหุ้นใหญ่อย่าง Xiaomi ที่ธุรกิจรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตดี แต่สมาร์ทโฟนมียอดขายที่ลดลง YoY และมีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงจากการแข่งขันสูง และ Baidu ที่แม้ธุรกิจ AI และ Robotaxi จะเติบโตดี แต่ไม่สามารถชดเชยการหดตัวแรงของธุรกิจโฆษณาได้ อย่างไรก็ตาม Kuaishou กลับมีผลประกอบการที่ดี มีกำไรทำ New high จากการผสาน AI เข้ากับโฆษณา, Live streaming และ E-Commerce
• ในสัปดาห์นี้ เรามองปัจจัยสำคัญที่สุดจะอยู่ที่การรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่ตลาดคาดว่ารายได้อาจเพิ่มมาที่ $46 พันล้าน จาก $44 พันล้านในไตรมาสก่อน เติบโตไม่สูงมากนักจากการมีข้อจำกัดการส่ง H20 ไปจีน แต่คาดว่า 3Q25 รายได้อาจพุ่งขึ้นไปที่ $53 พันล้าน จากการส่งมอบ GB200 ในปริมาณมาก ซึ่งสอดคล้องกับผลประกอบการของ Foxconn ผู้ประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีการเติบโตของรายได้จาก AI server ใน 2Q25 ที่ 60% YoY และคาดว่าจะเติบโต 170% YoY และจะมีการส่ง Rack ราว 3 เท่า QoQ ใน 3Q25
นอกจากนี้ยังมีหุ้นในกลุ่มเทคฯ อย่าง CrowdStrike, Dell, Marvell Tech, HP, Snowflake, MongoDB และ Okta รวมถึงค้าปลีกอย่าง Best Buy และ Ultra Beauty ด้านหุ้นจีนให้ติดตามผลประกอบการของ Alibaba, Meituan, Trip, BYD, Li Auto และ PDD ขณะที่ปัจจัยมหภาคให้ติดตามตัวเลข GDP 2Q25 (รายงานครั้งที่สอง) ของสหรัฐฯ ที่ตลาดคาดว่าอาจ Revised up เพิ่มจาก 3% เป็น 3.1%, ตัวเลข Core PCE ที่อาจมาเปลี่ยน Sentiment เชิงลบจาก PPI โดยหากตัวเลข Core PCE ไม่ได้ผิดจากตลาดคาดอย่างมีนัยสำคัญ เราคาดว่าตลาดจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับตัวเลขดังกล่าวในระยะสั้นและหันไปให้ความสนใจในการลดดอกเบี้ยในการประชุมเฟดรอบเดือนกันยายนมากกว่า
• ในภาวะที่ตลาดหุ้นโลกมีความอ่อนไหวกับ Sentiment เชิงลบ ที่ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยมหภาค ไม่ได้มาจากผลประกอบการนั้นที่ยังแข็งแกร่ง
เราจึงคงคำแนะนำทยอยลงทุนใน K-GSELECTU-A(A) เป็น Core Portfolio จากผลประกอบการ 2Q25 ที่ดีมากของหุ้นสหรัฐฯ โดยในจำนวนบริษัท 474 แห่ง (คิดเป็น 95% ของทั้งหมด) ที่รายงานมาแล้วนั้น มี 81% ที่กำไรมากกว่าคาดโดยเฉลี่ยที่ 8% (Earnings Surprise) และมีกำไรเติบโต 11% ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรของบริษัทใน S&P 500 ขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งหุ้นในกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ ยังให้ Guidance เชิงบวกถึง 24 จากทั้งหมด 30 บริษัท ขณะที่เม็ดเงินลงทุน (CAPEX) ของเทคโนโลยีใหญ่ยังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สะท้อนรันเวย์ของผลประกอบการที่มีโอกาสเติบโตสูงต่อเนื่อง จึงแนะนำใช้จังหวะที่ปัจจัยมหภาคที่มีความไม่แน่นอนสูงในการทยอยเข้าลงทุน
พร้อมเสริมด้วย Satellite Portfolio ระยะ 12 เดือนในธีมหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผ่านกองทุน KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services ที่ผลประกอบการบ่งชี้ว่ามีแนวโน้มจะดีต่อเนื่อง ด้านตราสารหนี้ แนะนำทยอยลงทุนกองทุน UGISFX-N เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ใกล้แนว 4.30% +/- และจากค่าบาทที่แข็งค่ามากเกินไป เรายังแนะนำเลือก Unhedged Class สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เพื่อลดต้นทุน Hedge สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน แนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาทในระดับที่ยังแข็งค่ามาก โดยแนะนำทยอยสะสมในกรอบ 32-33.5 บาท/ดอลลาร์ ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์ และมีเป้าหมายกำไรที่ 35 บาท/ดอลลาร์
Implication
Buy lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
• KKP TECH-UH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวลงเล็กน้อย จากความกังวลเรื่อง Valuation หลัง Sam Altman (CEO ของ OpenAI) กล่าวว่า AI อยู่ในภาวะฟองสบู่ (AI bubble) ทำให้ Citron Research ซึ่งเป็น Research firm ที่เน้นบทวิเคราะห์ฝั่ง Short ออกบทวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงต่อการปรับฐานของหุ้นในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ Palantir นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเงินอุดหนุนจาก CHIPS Act ให้กลายเป็นหุ้น (แบบไม่มีสิทธิ์ออกเสียง) ในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่รับเงินสนับสนุน เช่น TSMC, Samsung และ Micron ตามแนวทางที่เริ่มกับ Intel ทำให้ตลาดเกิดความกังวลในประเด็นการถูกแทรกแซงความเป็นอิสระของบริษัท
• สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ติดตามผลประกอบการของ Nvidia ที่จะตัวกำหนด Sentiment หุ้นในกลุ่ม Semiconductors หลังเริ่มเผชิญแรงขายบ่อยครั้ง จากความกังวล AI Bubble ของ Sam Altman และงานวิจัยของ MIT ที่ตั้งคำถามถึงผลตอบแทนจากการลงทุนใน AI โดยเราคงคำแนะนำซื้อ โดยเฉพาะเมื่อ IGM (ETF) มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
• K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix พักฐานตาม Risk off sentiment จากทั่วโลก แต่ยังคงยืนเหนือระดับ 3,100 จุด โดยหุ้นที่ปรับตัวลงแรงมาจากกลุ่ม AI-Related อย่าง Tokyo Electron, Advantest และ Disco ตามหุ้น Semiconductors สหรัฐฯ ขณะที่ SoftBank Group มีประเด็นกดดันเพิ่มเติมจากการประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้น Intel แต่เราคาดว่าหุ้นเหล่านี้จะรีบาวด์ตามสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ขณะที่หุ้นในกลุ่มยานยนต์ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องโดย Toyota Motor, Honda Motor และ Suzuki Motor ขึ้นทำ New high
• สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการรายงานอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวที่ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
• KT-CHINA-A: กองทุนหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Blackrock BGF China Fund ซึ่งลงทุนหุ้นจีน All China โดยปัจจุบันเน้นการลงทุนใน H-Shares ราว 70% และ A-Shares ราว 10% โดยดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้นทำ New high ภายหลัง Nvidia ให้ Supplier หยุดการผลิตชิป H20 ทำให้หุ้น Semiconductors อย่าง SMIC, Hua Hong, Cambricon, Hygon และ ZTE ปรับตัวขึ้นแรง ในขณะที่ H-Shares ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากหุ้นใหญ่ที่พักฐานหลังผลประกอบการไม่ได้ดีมากนัก แต่ยังได้แรงหนุนจากกลุ่ม EV ที่ปรับตัวขึ้นแรง
• สำหรับจีน สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข Industrial Profit และผลประกอบการของ Alibaba, Meituan, Trip, BYD, Li Auto และ PDD เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับกรอบการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า แต่ให้ลดขนาดของเงินลงทุนใหม่ลงครึ่งนึง
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
• ONE-FFI: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 4 เดือน 24 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 4.08% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
• เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD
Holding lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
• TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำระดับ All time high หลังจาก Powell ส่งสัญญาณ Dovish และน่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตในภาค Real Sector โดยหุ้นใหญ่ในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ที่ขึ้นทำ All time high ได้แก่ Mastercard และ Bank of America
• เราแนะนำ Let profit run และให้ติดตามการรายงาน GDP 2Q25 รอบที่สองและ Core PCE

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต