KS FUND TOP PICK 21 - 25 ก.ค. 2025

.jpg)
KS FUND TOP PICK 21 - 25 ก.ค. 2025
งบแบงก์สหรัฐฯ เปิดตัวสวย นักวิเคราะห์ดันกำไรโต สัปดาห์นี้ลุ้นผลประกอบการ GOOGL และ TSLA หนุนตลาดไปต่อ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นโลกจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบจากแรงกดดันด้านนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งยังคงยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีรอบใหญ่กับกลุ่มประเทศเป้าหมาย โดยประกาศชัดเจนว่ามาตรการใหม่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ครอบคลุมการขึ้นภาษี 30% กับยุโรปและเม็กซิโก, 35% กับแคนาดา, 50% กับทองแดง และเตรียมเพิ่มภาษีนำเข้ายา 200% รวมถึงสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังสามารถขยับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดและความคืบหน้าในการเจรจาการค้า โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียที่โดดเด่น ได้แก่ ไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งต่างเร่งเสนอเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ถูกขู่ว่าจะบังคับใช้ อินโดนีเซียสามารถตกลงยอมรับภาษี 19% แทน 32% เดิม พร้อมเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด
ขณะที่ไทยยื่นข้อเสนอฉบับใหม่ โดยเพิ่มรายการสินค้าสหรัฐฯ ที่จะยกเว้นภาษีและอุปสรรคทางการค้าเป็นประมาณ 90% ของสินค้าทั้งหมด จากข้อเสนอเดิมที่ครอบคลุมกว่า 60% เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีลงเหลือ 18–20% นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังช่วยประคอง Sentiment ได้ดี โดยแม้ CPI จะเร่งขึ้น แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ขณะที่ PPI ต่ำกว่าคาดชัดเจน บ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านต้นทุนยังไม่รุนแรง ส่วนยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนพุ่งขึ้น +0.6% MoM สูงกว่าคาดที่ +0.1% สะท้อนว่าอุปสงค์ภาคครัวเรือนยังแข็งแกร่งและทนทานต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ด้านจีน รายงาน GDP 2Q25 โต 5.2% มากกว่าคาดจากแรงส่งออกเป็นหลัก แม้การบริโภคและการลงทุนในประเทศยังซบเซา ทำให้ตลาดคาดหวังว่ารัฐบาลจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในการประชุมโปลิตบูโรช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ขณะที่ผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่เริ่มทยอยออกมาและให้ภาพที่เป็นบวก โดยเฉพาะ TSMC ที่รายงานกำไรไตรมาสล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 61% YoY สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมปรับเป้ารายได้ปีนี้จาก +20% เป็น +30% สะท้อนดีมานด์ AI ที่ยังคงร้อนแรงทั่วโลก
นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ที่กลับลำในประเด็นการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี โดยอนุญาตให้ Nvidia กลับมาจำหน่ายชิป H20 ซึ่งเป็น AI Accelerator รุ่นลดสเปกสำหรับตลาดจีนได้อีกครั้ง ทำให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านธนาคารสหรัฐฯ ก็รายงานงบออกมาดีกว่าคาดเช่นกัน โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจ Trading ในหุ้นและตราสารหนี้ที่ได้แรงหนุนจากภาวะตลาดผันผวนสูง รวมถึงเซอร์ไพรส์เชิงบวกจากรายได้ด้าน M&A และ IPO ที่เริ่มฟื้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) จะเริ่มชะลอลงจากต้นทุนเงินฝากที่สูงขึ้นก็ตาม ขณะที่กลุ่ม Healthcare ยังคง Underperform จากงบที่อ่อนแอของ Abbott และ Elevance Health แม้จะมีรายงานงบแข็งแกร่งจาก Johnson & Johnson
สัปดาห์นี้ตลาดจับตาผลประกอบการของหุ้น Magnificent 7 อย่าง Google และ Tesla โดย Google จะเน้นที่การเติบโตของรายได้จากโฆษณาและคลาวด์ รวมถึงความคืบหน้าด้าน AI ขณะที่ Tesla จะถูกจับตาเรื่องยอดส่งมอบรถยนต์และทิศทางของราคา ส่วนหุ้นกลุ่มชิปอย่าง Intel จะต้องดูทิศทางของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และการแข่งขันในตลาดชิป ด้านหุ้นกลุ่มบริโภค Coca-Cola และ Chipotle จะเน้นที่กำลังซื้อของผู้บริโภคและแนวโน้มต้นทุน สำหรับหุ้นยุโรป SAP จะดูแนวโน้มธุรกิจคลาวด์และยอดขายซอฟต์แวร์ ส่วน Nestle และ LVMH จะเน้นที่ยอดขายในตลาดสำคัญและกำลังซื้อระดับพรีเมียม หุ้นกลุ่ม Defense จะถูกจับตาเรื่องคำสั่งซื้อใหม่และงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น และสุดท้าย Infosys จากอินเดีย จะต้องดูแนวโน้มธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และการใช้จ่ายด้าน IT ของลูกค้าองค์กร
นอกจากนี้ ต้องให้ความสนใจกับตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ซึ่งจะสะท้อนภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการผลิต การถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และกรรมการเฟดคนอื่นๆ จะเป็นสิ่งสำคัญที่ตลาดจะใช้ประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การตีความผลการเลือกตั้งสภาสูงของญี่ปุ่นจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และสุดท้าย ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวจะช่วยบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านราคาและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น
เรามีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังผ่านพ้นการรายงานผลประกอบการ 2Q25 สัปดาห์แรกที่มีบริษัทรายงานงบมาแล้ว 58 บริษัท โดยมี 86% ที่มีกำไรมากกว่าคาด ขณะที่กำไรโดยรวมเติบโต 10.5% และสูงกว่าประมาณการ 7.8% นำโดยหุ้นในกลุ่มธนาคารที่กำไรมากกว่าคาด 11% และเติบโต 17.6% ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรของบริษัทใน S&P 500 ขึ้นชัดเจน หลังไม่กล้าปรับขึ้นเพราะกังวลผลกระทบของภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ยังเห็นผลประกอบการที่ดีมากของหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำอย่าง TSMC ที่สะท้อนความต้องการ AI ที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง คาดว่าบริษัทใน Supply chain ที่อยู่ในสหรัฐฯ น่าจะมีผลประกอบการที่ดีไม่ต่างกัน เรายังคงคำแนะนำลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ สำหรับ Satellite Portfolio 12 เดือนข้างหน้า ผ่านกองทุน KKP TECH-UH ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology และ Communication Services ซึ่งน่าจะมีผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งสวนทางกับกลุ่มอื่น พร้อมแนะนำให้ทยอยลงทุน K-GSELECTU-A(A) เป็น Core Portfolio ในจังหวะที่ตลาดปรับฐาน
ด้านตราสารหนี้ ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ ที่อยู่ใกล้ 4.5% ยังคงแนะนำให้นักลงทุนที่มีสัดส่วนตราสารหนี้น้อยเข้าลงทุนผ่านกองทุน UGISFX-N ที่เน้นตราสารหนี้คุณภาพดีโดยมีอันดับเครดิตเฉลี่ยที่ AA- และเนื่องจากค่าบาทแข็งค่า แนะนำเลือก Unhedged Class สำหรับทั้ง 3 กองทุนเพื่อลดต้นทุนค่า Hedge สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน แนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาทที่แข็งเกินไปในระยะสั้นจากราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง โดยทยอยสะสมในกรอบ 32-33.5 บาท/ดอลลาร์ และตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งกว่า 31.50 บาท โดยมีเป้าหมายกำไรที่ 35 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่ารายสัปดาห์มากที่สุดในปีนี้
Implication
Buy lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
KKP TECH-UH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนในกลุ่ม Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary โดยมี Top 10 Holding เป็น Nvidia, Apple, Meta, Microsoft, Broadcom, Alphabet, Netflix, Oracle และ Palantir โดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากผลประกอบการที่ดีของ TSMC หนุนหุ้นในกลุ่มชิปทั้ง Nvidia และ AMD นอกจากนี้ยังมีการกลับลำของทรัมป์ที่อนุญาตให้ Nvidia และ AMD สามารถส่งชิปรุ่นรองไปยังจีนได้ตามเดิม และการเตรียมประกาศ AI Action Plan ที่ว่าด้วยเรื่องการลดกฎระเบียบให้กับบริษัท AI, สนับสนุนพลังงานให้เพียงพอต่อ Data Center และการช่วยให้บริษัท AI สหรัฐฯ ขายเทคโนโลยีไปทั่วโลก
สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ติดตามการรายงานผลประกอบการของ Google, Tesla, Intel, Texas Instrument และ NXP เราแนะนำซื้อเมื่อ IGM (ETF) มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
K-JP-A(D): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคลื่อนไหวกรอบแคบ จากความระมัดระวังต่อการเลือกตั้งสภาสูงที่มีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตราสูง โดยล่าสุดการส่งออกของญี่ปุ่นหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามผลการเลือกตั้งสภาสูง ความคืบหน้าการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว เรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
KT-CHINA-A: กองทุนหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Blackrock BGF China Fund ซึ่งลงทุนหุ้นจีน All China โดยปัจจุบันเน้นการลงทุนใน H-Shares ราว 60% และ A-Shares ราว 20% โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทั้ง HSCEI ที่ใกล้ทดสอบระดับสูงสุดช่วงกลางมีนาคม และ CSI 300 ที่ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ โดยแรงหนุนมาจากการที่ GDP 2Q25 เติบโต 5.2% มากกว่าคาด แต่ยอดค้าปลีกที่ชะลอตัว และการลงทุนอสังหาฯ ที่หดตัวมากขึ้น ทำให้ตลาดคาดหวังมาตรการกระตุ้นจากการประชุมโปลิตบูโรในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม อีกทั้งการที่ Nvidia ได้ไฟเขียวกลับมาส่งชิป H20 ทำให้หุ้นเทคฯ จีนขึ้นแรง
สำหรับจีน สัปดาห์นี้ตลาดคาดว่า PBoC จะยังคง Loan Prime Rate 1 ปี และ 5 ปี ไว้ตามเดิม เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับกรอบการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า โดยให้ทยอยลงทุนเมื่อดัชนี MSCI China ย่อตัวลง
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
ONE-FFI: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 5 เดือน 26 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 4.06% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD
Holding lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
TUSFIN-A: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ภาพรวมของผลประกอบการออกมาค่อนข้างดี นำโดยรายได้จากการซื้อขายหุ้นที่ Goldman Sachs ทำสถิติรายได้จากส่วนนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wall Street อีกทั้งกลุ่มธนาคารยังได้แรงหนุนที่ไม่คาดคิดจากการกลับมามีดีล M&A ที่สร้างรายได้ที่มากกว่าคาด
เราปรับคำแนะนำจากซื้อเป็นถือ Let profit run หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับปัจจัยบวกไปมาก และเริ่มเห็นความเปราะบางในผลประกอบการในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่ภาพรวมออกมาต่ำกว่าตลาดคาด
PRINCIPAL VNEQ-A: กองทุนหุ้นเวียดนาม ลงทุนโดยตรงในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามหรือมีธุรกิจหลักในเวียดนามและ ETF โดย ณ วันที่ 30 พ.ค. 2025 กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินมากที่สุดในพอร์ตราว 38% ลดลงจาก 44% ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,500 จุด จากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้า, ความคาดหวังเชิงบวกว่า FTSE Russell จะประกาศยกระดับตลาดหุ้นในเดือนกันยายน และแรงซื้อที่นำโดยหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่อย่างกลุ่ม Vingroup และธนาคาร
เราแนะนำให้ขาย เมื่อสถานะการลงทุนกลับมามีกำไร
.jpg)
เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต