ทะยานสู่ความยั่งยืนของโลกยุคใหม่ไปกับ TESLA


ทะยานสู่ความยั่งยืนของโลกยุคใหม่ไปกับ TESLA
หากพูดถึงบริษัทคลื่นลูกใหม่ไฟแรง คงไม่มีใครต้านคลื่นยักษ์อย่าง Tesla Inc. (TSLA US) ที่แม้จะก่อตั้งบริษัทมาเพียง 18 ปี (Tesla ก่อตั้งเมื่อปี 2003) แต่กลับมีเป้าหมาย “Accelerating World’s Transition to Sustainable Energy” เพื่อหวังเข้ามาเปลี่ยนโลก จึงเป็นบริษัทเนื้อหอมที่ทั้งกองทุนและนักลงทุนทั้งหลายต่างตบเท้าเข้ามาจับจอง จน Tesla มาแรงแซงหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นรุ่นพี่ในตลาดและทำให้ปัจจุบัน Tesla มีมูลค่าตลาด (Market Cap) เป็นอันดับ 4 รองจาก Apple Inc. (AAPL US: ก่อตั้งปี 1976), Microsoft (MSFT US: ก่อตั้งปี 1975), Google (GOOGL US: ก่อตั้งปี 1998), และ Amazon (AMZN US: ก่อตั้งปี 1994) นอกจากนี้ Tesla ยังมีมูลค่าตลาดเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Toyota และเมื่อพูดถึง Tesla ก็ต้องมาพร้อมกับชื่อของ Elon Musk ผู้ก่อตั้งและ CEO ทั้งยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกการลงทุนและนวัตกรรมอีกคนของโลกในปัจจุบัน
TESLA – เปิดตัวด้วยการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารายแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 2003 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความต้องการผลิตรถยนต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากน้ำมัน แต่ให้ความแรงและความสนุกในการขับขี่ได้เช่นเดียวกับรถยนต์เครื่องสันดาป จึงกลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีความโดดเด่นเฉพาะ (Unique) แทนการผลิตแบบ Mass Production เพื่อมาสู้กับรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีในท้องตลาด ซึ่งแม้จะตามมาด้วยมูลค่าของรถที่สูง แต่กลับกลายเป็นที่โปรดปราณของผู้ชื่นชอบรถยนต์ที่มีนวัตกรรมที่แตกต่างและเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าแรกที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีไปทั่วโลก โดย Model แรกได้ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2008 และในปัจจุบันมีรถทั้งหมด 5 โมเดล ได้แก่ Roadster, Tesla model 3, Tesla model X, Tesla model S และ Tesla model Y นอกจากนี้ Tesla ยังฉีกกฎการขายรถยนต์รูปแบบเดิมที่มักจะขายผ่าน Franchised Dealer เป็นการขายแบบ Direct Sales ผ่านศูนย์จัดจำหน่ายของบริษัท (ปัจจุบันมี 438 สาขาทั่วโลก) ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับทราบ Feedback จากลูกค้าโดยตรง เพื่อนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการอย่างรวดเร็ว และบริษัทมีสถานีชาร์ตไฟ (Supercharger Stations) เพื่อให้บริการลูกค้า และหาแนวทางพัฒนาระบบการชาร์ตไฟในอนาคต
แม้ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นธุรกิจสร้างชื่อให้กับ Tesla แต่ยังมีธุรกิจอื่นๆที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท เช่น ธุรกิจ Solar Energy ธุรกิจ Energy Storage ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจหุ่นยนต์ (Humanoid Robot) ที่มีชื่อเรียกว่า “Tesla Bot” เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในงานที่ต้องเจอความเสี่ยงสูง และธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับอย่าง Robotaxis ที่อยู่ในแผนการพัฒนาของบริษัท ทำให้หลายคนมองว่า Tesla เหมาะที่จะเป็น Tech Company มากกว่าการเป็นแค่บริษัทผลิตรถยนต์
ณ ปัจจุบัน Tesla Inc. มีมูลค่าตลาด (Market Cap) อยู่ที่ USD1,086.5Billion โดยถือว่ามี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยมี Market Cap มากกว่า Toyota ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก หลังจากที่ขาดทุนในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจมาหลายปี บริษัทเริ่มมีกำไรในปี 2019 และมีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง ณ ปี 2020 มี EPS อยู่ที่ USD2.24 และคาดว่าจะมีกำไรในปี 2021-2022 อยู่ที่ USD 6.02 และ USD 8.49 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ต้องจับตามอง
-TESLA มีชื่อแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด) ซึ่งการที่บริษัทมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าของบริษัทได้ในอนาคต (โดย ณ ปัจจุบันคาดการณ์มูลค่าของแบรนด์ TESLA ที่ USD42.6 Billion เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่เคยมีมูลค่า USD11.35Billion สูงที่สุดเมื่อเทียบในอุตสาหกรรมรถยนต์)
-Tesla Gigafactory โรงงานผลิตพลังงานสะอาดและชิ้นส่วนของรถ EV ที่เป็น Net zero energy factory เพื่อรองรับเป้าหมายการผลิตรถให้ได้ปีละ 500,000 คัน ซึ่งโรงงานดังกล่าวไม่ได้แค่ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่ธุรกิจแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า แต่อาจจะกลายเป็นโรงงานที่เข้ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้แก่กลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาดของโลก จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้นของ Tesla ที่นักลงทุนควรจับตามอง
-หลายภูมิภาคส่วนใหญ่ของโลกยังคงให้ความสำคัญในการผลักดันพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืนในอนาคตจึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว
-แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนในการผลิตแบตเตอรี่ต่ำลง จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) รวมถึงการกระจายของศูนย์ชาร์ตไฟที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
-การร่วมมือกับ Partner ชั้นนำ เช่น ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับ Hertz ผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ของโลกที่ตกลงสั่งซื้อรถ Tesla Model3 จำนวน 100,000 คัน เพื่อนำมาให้บริการรถเช่าของบริษัท ถือเป็นการสั่งซื้อที่มูลค่าสูงที่สุดของวงการรถยนต์ไฟฟ้า
-การแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดรถยนต์ EV Car ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยเฉพาะจีนที่ทำราคาออกมาได้ถูก ทำให้นักลงทุนต้องติดตามความเคลื่อนไหวในวงการอย่างใกล้ชิด
-การปรับตัวในยุค Technology Disruption ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามว่า TESLA จะมีการปรับเปลี่ยน Model ทางธุรกิจอย่างไรเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ๆ ที่ก้าวเข้ามาในตลาด
-Tesla เป็นหนึ่งบริษัทที่มี Economy of scope ที่ไม่เพียงแค่ขายรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน แต่ยังมีการขายแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังมี Charging Station ที่สามารถเอื้อประโยชน์กันใน Ecosystem
Investor Tip:
TESLA INC. (TSLA US) – ผู้นำด้านนวัตกรรมรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ภายใต้การก่อตั้งและการบริหารของ Elon Musk อีกทั้งยังตามมาด้วยธุรกิจ Autonomous ที่พร้อมมาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในอนาคต โดย Tesla Inc. จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งใช้ Ticker Code ในการซื้อขายว่า TSLA US” โดยนักลงทุนต้องแลกเงินเป็นสกุล USD เพื่อทำการซื้อขาย โดยมีขั้นต่ำในการซื้อขายเป็นจำนวน 1 หุ้น (Trade Lot = 1)
ณ ปัจจุบัน ถ้าคุณต้องการจะซื้อรถ TESLA จะต้องใช้เงินอย่างน้อยประมาณ USD 45,190 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.50 ล้านบาท แต่ว่านักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของหุ้น TESLA ได้ในราคาเพียง USD1,081.92 (As of 26/11/2021) คิดเป็นเงินไทยประมาณ 35,703 บาท
Source: KS OFFSHORE , CFRA Research ,Bloomberg
เปิดพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศ > https://bit.ly/3c3oDs2
KSecurities #KS #OffshoreInvestment #หุ้นต่างประเทศ #TESLA

Follow us :
LINE : http://bit.ly/KSLINEOA
Facebook: http://bit.ly/2XwGoaa
Instagram: http://bit.ly/332OqIT
Twitter: http://bit.ly/344OVng
YouTube: http://bit.ly/2QAdiFp