KS Daily View 25 เม.ย. 2025


KS Daily View 25 เม.ย. 2025>>> S&P 500 ปรับตัวขึ้น 3 วันติด จากผลประกอบการที่ดี และการค้าที่ใกล้บรรลุดีลกับเกาหลีใต้ มองหุ้นไทยได้รับอานิสงค์เชิงบวกจากประเด็นข้างต้น เทคโลกรีบาวด์แรง ส่งออกโต หนุน DELTA มองหุ้นไทยปรับตัวขึ้น กรอบวันนี้ 1,130 – 1,160 จุด
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.03%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 2.74% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 1.23% หนุนโดยหุ้นในกลุ่มเติบโตสูงอย่าง Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary แม้จีนจะปฏิเสธว่ามีการเจรจาเกิดขึ้น แต่ตลาดได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงความเห็นของทรัมป์ที่ยืนยันว่าได้ประชุมกับทางการจีนไปแล้วและเบสเซนต์ กล่าวว่าอาจบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเกาหลีใต้ภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ยังมีการส่งสัญญาณของกรรมการเฟดว่าพร้อมลดดอกเบี้ยหากนโยบายภาษีส่งผลเสียต่อการจ้างงาน
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,146.86 จุด ปรับตัวลงราว 7 จุด (-0.60%) ปรับตัวลงจากการที่จีนออกมากล่าวว่าไม่เคยมีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงนี้ และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีทั้งหมด หากต้องการให้เกิดการเจรจาจริงจัง ทำให้หุ้นในกลุ่มใหญ่เผชิญแรงขายเป็นวงกว้างนำโดย พลังงาน ขนส่ง ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล ในขณะที่กลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามจากพัฒนาการเจรจาการค้าล่าสุดที่เป็นบวกทั้งการยืนยันการเจรจากับจีนของทรัมป์ และการที่จะบรรลุข้อตกลงกับเกาหลีใต้ และอินเดีย
เรายังคงมุมมองว่า SET น่าจะปรับตัวขึ้นได้โดยมองกรอบวันนี้ที่ 1,130-1,160 จุด หุ้นแนะนำ OSP, DELTA
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- จีนปฏิเสธข่าวการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน He Yadong กล่าวว่ารายงานความคืบหน้าใดๆ เกี่ยวกับการเจรจาเป็น "ข่าวที่ไร้มูลความจริง" และเรียกร้องให้สหรัฐฯ "แสดงความจริงใจ" พร้อมทั้งยกเลิกภาษีนำเข้าทั้งหมดที่มีต่อจีน ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับยืนยันว่ามีการประชุมเกิดขึ้นในเช้าวันเดียวกัน ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่าสหรัฐฯ และเกาหลีใต้อาจบรรลุ “Agreement of understanding" ทางการค้าได้ภายในสัปดาห์หน้า
- กระทรวงการคลังเตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำช่วยผู้ประกอบการส่งออกและซัพพลายเชนที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ โดยจะพิจารณาปรับเกณฑ์การขอสินเชื่อให้ธนาคารลดความเข้มงวด ส่วนวงเงินรอประเมินผลกระทบหลังการเจรจากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลอาจพิจารณาขยายเพดานหนี้สาธารณะจากปัจจุบัน 70% ของ GDP และเพิ่มการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 ยังเป็นไปตามเป้า
- คำสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน (ไม่รวมเครื่องบินและอุปกรณ์ทางทหาร) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนมีนาคม สะท้อนความระมัดระวังของบริษัทท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้าและนโยบายภาษี ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 6,000 ราย เป็น 222,000 ราย แต่ยังอยู่ในระดับต่ำและสอดคล้องกับการคาดการณ์ สะท้อนว่าตลาดแรงงานยังคงมีเสถียรภาพ แม้จะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและแนวโน้มเศรษฐกิจ
- คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 40 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซลทุกชนิด มีผลวันที่ 25 เมษายน 2568 เพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้รายรับกองทุนฯ ลดลงจาก 366.57 ล้านบาทต่อวัน เหลือ 326.08 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ฐานะกองทุนฯ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 ติดลบ 52,513 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 7,020 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,493 ล้านบาท
- กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) เข้าครม. ในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน มูลค่ารวม 1 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มประกวดราคาในเดือนธันวาคม 2568 และก่อสร้างระยะที่ 1 มูลค่า 5 แสนล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2569 แล้วเสร็จปลายปี 2573 โครงการนี้จะประมูลสัญญาเดียวครอบคลุมทั้งท่าเรือน้ำลึก มอเตอร์เวย์ และรถไฟ โดยเปิดให้ต่างชาติร่วมลงทุนโดยไม่จำกัดสัดส่วน แต่ที่ดินทั้งหมดยังเป็นของรัฐ
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- OSP : ราคาพื้นฐาน 20.60 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ OSP จากการประมาณการกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 890 ล้านบาท เติบโต 27% YoY และ 40% QoQ จากการปรับสัดส่วนสินค้าที่ดีขึ้น เราคาดรายได้เติบโต 11% QoQ แม้รายได้เครื่องดื่มในประเทศยังติดลบ 13% YoY จากการปรับโครงสร้างการขาย แต่ส่วนแบ่งตลาดของ OSP ปรับตัวดีขึ้น 10 bps จากเดือนกุมภาพันธ์ และ 50 bps จากเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา รายได้ดีขึ้นจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะในพม่า และยอดขายสินค้า personal care นอกจากนี้ คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 39.5% จากยอดขายต่างประเทศที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี โดยการปรับไปขายขวด 10 บาทในตอนนี้สามารถจัดจำหน่ายได้ราว 85% ของช่องทางทั้งหมด คาดจะครบ 100% ในเดือนเมษายนนี้
- DELTA : ราคาพื้นฐาน 77.00 บาท
เราแนะนำเก็งกำไร DELTA จากการเร่งสั่งสินค้า front-loaded inventory ก่อนขึ้นภาษี reciprocal tariffs ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2568 โดยยอดส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเติบโต 48% YoY จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ นำโดยชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, PCBA และ Power supply เรามองการสั่งซื้อสินค้าจะยังแข็งแกร่งไปถึงไตรมาส 3/2568 นอกจากนี้ คาดกำไรในไตรมาส 1 และ 2 ปี 2568 จะได้ประโยชน์จากการเร่งสั่งสินค้านี้ และรายได้ประจำเดือนมีนาคมของ Delta Taiwan ที่อยู่ที่ 43 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน เติบโต 37.5% YoY จะส่งผลเชิงบวกต่อ Delta Thailand ด้วย
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว เดือน เม.ย. ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเร่งตัวขึ้นไปที่ 3.2% YoY จาก 2.4% ในเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ Michigan Consumer Sentiment ที่ตลาดคาดจะว่าลดลงเหลือ 50.6 จุด จาก 50.8 ในการรายงานรอบ Preliminary
*ข้อมูลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่และแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน

เปิดพอร์ตลงทุนออนไลน์กับ KS ได้แล้ววันนี้!
เปิดพอร์ตลงทุน >> https://ksecurities.co/open-account
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #Ksecurities #การลงทุน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #ผลตอบแทน #ข่าวหุ้น #DAILYVIEW