หากนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเราพบว่ากลุ่ม Domestic play ค่อนข้าง Laggard กลุ่ม Global play มากกว่า 5% นำโดยกลุ่มอสังหาและกลุ่มก่อสร้าง (-5%) กลุ่มธนาคารและการเงิน (-8%) ในขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, พลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ และปิโตรเคมี ปรับขึ้นเมื่อเทียบกับ SET Index ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและโทนการประชุมจากผู้บริหารที่ค่อนข้างไปในทางบวก เป็นผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับประมาณการกำไรปีนี้และราคาเหมาะสมขึ้น โดยปัจจุบัน EPS ปรับขึ้นในระดับ 10% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับประมาณการขึ้นของกลุ่ม Global play อย่างไรก็ตามพอจบช่วงปรับประมาณการขึ้น (Earning upgrade period) เราเริ่มเห็นสัญญาพักฐานของสเปรดในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ Olefins, PX และอีนๆ รวมถึงราคาน้ำมันเป็นผลให้เราแนะนักลงทุนระยะสั้นเริ่มลดแรงเก็งกำไรในกลุ่ม   Global play หันมาทยอยสะสมกลุ่มที่ laggard อย่างกลุ่มก่อสร้าง, ธนาคาร ล่าสุดนอกเหนือจากกลุ่มดังกล่าวแล้วเราเริ่มเห็น Fund flow เริ่มกลับมาไหลเข้าในกลุ่ม Domestic อื่นๆที่ laggard สูงอย่างกลุ่มค้าปลีกและโรงไฟฟ้าอีกครั้ง และสำหรับภาพดังกล่าวเราคาดจะเห็นภาพลักษณะดังกล่าวไปจนถึงช่วงก่อนการประชุม FOMC ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งเราแนะนักลงทุนใช้กลยุทธ์ Selective Buy เลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ Laggard และ Valuation ที่ถูกในขณะที่คาดผลประกอบการเติบโตเด่น อาทิกลุ่มอสังหา อย่าง ORI ที่ปัจจุบันซื้อขาย PER21 ต่ำเพียง 7x (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม 10x) ในขณะที่คาดผลประกอบการเติบโตในระดับ 16-18% ใน1-2ปีนี้ รวมถึง ROE(%) ที่สูงสุดในกลุ่มที่ 25% (กลุ่ม 10%) , โรงไฟฟ้า BPP ปัจจุบันซื้อขาย PER 13x (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม 20x) ในขณะที่อัตราการเติบโตกำไรปีหน้าสูงกว่ากลุ่มที่ 20% และปันผลในระดับ 4% , กลุ่มก่อสร้าง CK ซึ่งในช่วงเวลา 6เดือนข้างหน้า เราคาดว่าจะเป็นบริษัทที่มี potential upside จากการเซ็นงานเพิ่มเติมจากระดับ backlog ปัจจุบันที่สูงสุดในกลุ่ม และในเชิง valuation ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าบริษัทลูกในเครือทั้ง 3 มากกว่า 40% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย

สำหรับปัจจัยต่างประเทศเมื่อวานที่ผ่านมาสหรัฐรายงาน GDP ไตรมาสหนึ่งเติบโต 6.4% ในขณะที่รายงานยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าที่คาดที่ 4.06แสนอัตรา (คาด 4.25แสนอัตรา) ซึ่งถือเป็น 3สัปดาห์ติดต่อกันที่ยอดต่ำกว่า 5แสนอัตรา ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (US bond yield 10ปี) ปรับขึ้นจากระดับ 1.57% กลับขึ้นมายืนในระดับ 1.60% อีกครั้ง เราคาดว่าตลาดหุ้นรวมถึงสินทรัพย์อื่นๆจะแกว่งผันผวนตามการรายงานตัวเลขดังกล่าว จนถึงการประชุม FOMC ในวันที่ 16มิ.ย. ซึ่งถ้อยคำแถลงของ Powell จะเป็นตัวชี้นำตลาดในช่วง 3Q21 ซึ่งหากถ้อยคำแถลงทั้งหมดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริงติดลบลดลง และดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เราคาดว่าจะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) รวมถึง SET Index มีโอกาสสูงที่จะ Underperform เมื่อเทียบกับ Developed market

มุมมองตลาดหุ้น/กลยุทธ์การลงทุน วันนี้คาด SET แกว่งในกรอบ 1580-1590จุด แนะซื้อสะสมกลุ่ม domestic play แนะนำ ORI, CBG

หุ้นแนะนำ  1) ORI (ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท) คาดการเติบโตของกำไรและการลงทุนใหม่ๆ ในปี 2564 จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อราคาหุ้น ในสมมติฐานกรณีที่ดีที่สุดกำไรรายไตรมาสของ ORI จะค่อยๆ ปรับดีขึ้นในเชิง QoQ เช่นกัน ซึ่งจะกลายเป็น upside risk ต่อประมาณการกำไรปี 2564 ของเรา ขณะที่ระดับมูลค่ายังถูกกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม 2) CBG (ราคาพื้นฐาน 154 บาท) คาดว่ายอดขายในพม่า กัมพูชาจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสอง และจีนจะโตต่อเนื่อง มองการเติบโตในประเทศจีนอาจเปิด upside เพิ่มเติม

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:  

วันศุกร์ติดตาม ญี่ปุ่น: ตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนเมษายน ยุโรป: ตัวเลขยอดค้าปลีกของสเปน เดือนเมษายน สหรัฐฯ:ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE เดือนเมษายน ตลาดคาดที่ 2.4% YoY