KS Daily View 17 พ.ย. 2025

KS Daily View 17 พ.ย. 2025

Analysis by KS Research Strategy
Nov 17, 2025
Back

KS Daily View 17.11.2025 >>> SET กดดัน จากความกังวลทางการค้าไทย-สหรัฐและความตึงเครียดญี่ปุ่น-จีนที่ปะทุขึ้น คาด SET วันนี้กรอบ 1,260–1,270 จุด แนะนำ BDMS และ BAM

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้: สัปดาห์นี้คาดดัชนีจะกลับมาซื้อขายในกรอบเดิมบริเวณ 1,260-1,300 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้ซึ่งอาจเป็นประเด็นกดดันตลาดต่อเช่น สถานการณ์อุทกภัยและเรื่องการระบายน้ำว่าจะมีพัฒนาการไปในทิศทางใด ซึ่งเรามองว่าสถานการณ์อุทกภัยในปีนี้จะไม่รุนแรงเท่าปี 2554 แต่ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกมากกว่าค่าเฉลี่ยเชื่อว่าจะทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะกำลังซื้อของกลุ่มเกษตรกรชาวนาเนื่องจากใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวนาปี รวมไปถึง สถานการณ์เรื่องความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงโดยมีการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ทำให้ไทยยกเลิกข้อตกลงสันติภาพกับทางกัมพูชาและฝั่งสหรัฐฯได้แจ้งขอระงับการเจรจาการค้ากับไทย ส่งผลให้ความเสี่ยงเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กลับมามีแนวโน้มจะส่งผลเชิงลบกับกลุ่ม Global link โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกเช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, นิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ ทั้งนี้ความตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่นและจีนก็กลับมาเร่งระดับ หลังปลายสัปดาห์ที่แล้วนายกญี่ปุ่นออกมากล่าวพร้อมส่งกองทัพช่วยเหลือไต้หวันหากถูกโจมตี ขณะที่ทางการจีนออกมาตอบโต้โดยการออกเตือนประชาชนจีนให้หลีกเลี่ยงเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น แม้กลุ่มขนส่งและท่องเที่ยวอาจได้อานิสงค์บวกทางอ้อมหากนักท่องเที่ยวจีนหันมาเที่ยวไทยแทน แต่มองว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในภูมิภาคจะทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นลบ

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1269.26 จุด ปรับตัวลดลง -2.58% จากสัปดาห์ที่ผ่านหลังกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มท่องเที่ยว, และกลุ่มการเงิน ปรับตัวลดลง ในวันนี้เราประเมินว่าตลาดมีแนวโน้มแกว่งตัว sideway down อยู่ในกรอบ 1,260–1,270 จุด จากความกังวลทางการค้ากลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐได้แจ้งขอระงับการเจรจาการค้ากับไทย ประกอบกับความตึงเครียดของญี่ปุ่นกับจีนที่ปะทุขึ้น แนะนำ BDMS และ BAM

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน

1.ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงโดยมีการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ทำให้ไทยต้องยกเลิกข้อตกลง Joint declaration ขณะที่ภายหลังไทยยกเลิกข้อตกลงสันติภาพกับทางกัมพูชาฝั่งสหรัฐฯ ได้แจ้งขอระงับการเจรจาการค้ากับไทยส่งผลให้ความเสี่ยงเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กลับมามีแนวโน้มจะส่งผลเชิงลบกับกลุ่ม Global link โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกเช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, นิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์

2.กสทช.เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติโครงการ “เน็ตคนละครึ่ง” เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อยกว่า 14 ล้านคนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจ่ายเพียง 160 บาทต่อเดือน จะได้รับเน็ต 40 GB ต่อเดือน นาน 3 เดือน ใช้งบกองทุน กทปส. สนับสนุน พร้อมประสาน Operators ออกแพ็กเกจพิเศษ และย้ำคุมคุณภาพสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วประเทศ มองเป็นบวกกับ TRUE และ ADVANC จากราคาโครงการของ กสทช. ที่เสนอไว้ที่ 160 บาทสูงกว่า ARPU ของ service providers และโครงการนี้จะช่วยให้กลุ่มประชาชนที่ได้รับสิทธิ์เริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานดาต้าปริมาณมาก

3.ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์พุ่งขึ้นกว่า 2% หลังท่าเรือโนโวรอสซิสค์ของรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดส่งออกน้ำมันสำคัญ ต้องระงับการส่งออกถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือราว 2% ของอุปทานโลก เพราะถูกโดรนยูเครนโจมตีสร้างความเสียหายต่อคลังน้ำมันและเรือ ขณะเดียวกันยูเครนยังโจมตีโรงกลั่นและคลังน้ำมันในพื้นที่อื่นของรัสเซีย ส่วนชาติตะวันตกเพิ่มแรงกดดันรัสเซีย มองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน PTTEP และ refineries อย่าง TOP BCP SPRC BSRC จากแนวโน้มของ inventory loss ที่น้อยลง ขณะที่ค่าการกลั่นยังคงอยู่ในระดับสูง

4.รมว.คลังจีนเผยว่าจีนเตรียมเดินหน้านโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยใช้งบประมาณ ระบบภาษี พันธบัตรรัฐบาล และเงินโอนเป็นเครื่องมือหลัก ควบคู่การกำหนดอัตราขาดดุลงบประมาณต่อ GDP และระดับการกู้ยืมให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ มองเป็น sentiment เชิงบวกกับราคาหุ้นระยะสั้นกับกลุ่ม Petrochemical sector อย่าง PTTGC SCC IRPC ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงถูกกดดันด้วย spread ที่ต่ำกว่า $US350/ton หรือระดับ cash cost level

5.จีนออกคำเตือนประชาชนให้งดเดินทางไปญี่ปุ่น หลังนายกฯของญี่ปุ่นกล่าวว่า ความขัดแย้งทางทหารจีน–ไต้หวันอาจเป็นภัยต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น และอาจนำไปสู่การใช้สิทธิ “ป้องกันตนเองร่วมกัน” ของญี่ปุ่น ทำให้เกิดข้อพิพาทการทูตรุนแรง จีนระบุว่าคำพูดดังกล่าวยั่วยุ ทำลายบรรยากาศความสัมพันธ์ประชาชน และเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชาวจีนในญี่ปุ่น มองว่าไทยอาจได้อนิสงค์ของการ relocate traveling destination ของนักท่องเที่ยวจีนที่อาจหนุนภาคการท่องเที่ยว

Daily pick

BDMS: ราคาพื้นฐาน 20.40 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BDMS จากกำไรใน 3Q25 ที่ดีกว่าคาดราว 8% จาก GPM ที่แข็งแกร่งและมี Tax saving ที่สูงกว่าคาด โดยเรามองใน 4Q25 มีโอกาสที่รายได้จะลดลง QoQ น้อยกว่าคาดและยังคงรักษาการเติบโต YoY จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเคสไข้หวัดใหญ่ ประกอบกับการควบคุมต้นทุนที่ดีจะช่วยรักษาการเติบโตของกำไรไว้ได้ โดยใน 4Q25 บริษัทให้เป้าหมายการเติบโตทั้งปี 2025 ที่ 4%yoy และ EBITDA margin ที่ระดับ มากกว่า 24% เทียบกับเป้าเดิมที่ 3-5% และ 24-25% ตามลำดับ ตัวเลขสะท้อนว่ารายได้ใน 4Q68 น่าจะโตได้ 5% YoY

BAM: ราคาพื้นฐาน 8.50 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BAM จากการเปิดกลยุทธ์สำหรับ New partnership ใหม่ที่มีด้วยกัน 3 แบบ พร้อมกับจะจัดตั้งบริษัทร่วม JV AMCs กับธนาคารพาณิชย์อีก 2 แห่งภายใน 1Q261 นี้โดยจะเน้นไปที่หนี้เสียที่มีหลักประกัน รวมถึงการเข้าไปเป็นพันธมิตรโดยการช่วยธนาคารในการบริหารหนี้เสียโดย BAM จะเป็นคนซื้อหนี้เสียและจัดการบริหารและแบ่งกำไรกับเจ้าของหนี้เดิม และสุดท้ายคือการรับจ้างบริหารหนี้เสียกับสถาบันการเงินต่าง ส่งผลให้ BAM เปิดโอกาสในการเติบโตและสร้างความสามารถในการแข่งขันได้อย่างดีในปี 2026 นี้ นอกจากนี้เราคาดกว่ากำไรใน 4Q25 จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากการไม่มี one-time ECL เหมือนใน 3Q25 ที่ผ่านมาและ การโอนทรัพย์ชิ้นใหญ่ในช่วง 4Q25 รวมไปถึงจำนวน cash collection ที่คาดว่าจะดีขึ้นในช่วง High season นี้

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันจันทร์ ติดตาม รายงานการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ใน 3Q25 ครั้งแรก ตลาดคาดการณ์ที่ -0.6% QoQ ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ +0.5% QoQ ต่อด้วยการรายงาน GDP ใน 3Q25 ของไทยตลาดคาดการณ์ที่ +1.6% YoY เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ +2.8% YoY

วันอังคาร ติดตามเฟดวอลเลอร์กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในงานประจำปีของ Society of Professional Economists ในลอนดอน

วันพุธ ติดตามรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปครั้งสุดท้าย (EU CPI) เดือน ต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ที่ +2.1% YoY ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้าและตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (EU Core CPI) ตลาดคาดการณ์ที่ +2.4% YoY ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า ต่อด้วยรายงานบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารสหรัฐ (FOMC minutes)

วันพฤหัสบดี ติดตาม Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนระยะเวลา 1 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า

วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่น (Japan Inflation) เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +2.9% YoY และ เงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานตลาดคาดการณ์ที่ +3.1% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +3.0% YoY ต่อด้วยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 50.2 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 50.0 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 52.0 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 52.5 จุด

Dailyview_2025_1040x1040.jpg

เปิดพอร์ตลงทุน >> https://ksecurities.co/open-account
ดูข้อมูลหุ้นเพิ่มเติมผ่านแอป KS TRADE+ โหลดเลย >> https://ksecurities.co/KSTradePlus

Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube

#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #Ksecurities #การลงทุน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #ผลตอบแทน #ข่าวหุ้น #DAILYVIEW

Search

Recommended searches