KS FUND TOP PICK 4 - 8 ส.ค. 2025
จังหวะทยอยสะสม Core port เมื่อ Macro กลับมากดดัน แต่ผลประกอบการที่แข็งแกร่งคือของจริง
- ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างเผชิญแรงขาย สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อการขึ้นภาษีของทรัมป์ แม้จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับยุโรปและเกาหลีใต้ในอัตราภาษี 15% ได้ในช่วงต้นสัปดาห์ แต่ความตึงเครียดกลับยังคงอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าต่ออินเดียเป็น 25% และปรับขึ้นกับแคนาดาเป็น 35% จากเดิม 25% แม้จะยกเว้นสินค้าภายใต้ USMCA ขณะที่เม็กซิโกเอง แม้จะได้รับการเลื่อนการบังคับใช้ภาษีใหม่ที่ 30% ออกไป 90 วัน แต่สินค้าที่ไม่เข้าเงื่อนไข USMCA ก็ยังถูกเก็บภาษีที่ 25% เช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมีการขึ้นภาษีกับสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 39% กดดันหุ้น Richemont แบรนด์นาฬิกาหรูยุโรป และฉุดหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราในยุโรปให้ปรับตัวลงตาม อีกทั้งยังประกาศขึ้นภาษีทองแดง 50% กับทุกประเทศ พร้อมทั้งเตรียมขยายภาษีไปยังสินค้ากลุ่มยาในเร็วๆ นี้ แม้จะมีแรงหนุนระหว่างสัปดาห์จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Meta, Apple และ Alphabet ที่ต่างรายงานรายได้และกำไรเติบโตโดดเด่น ทำสถิติสูงสุดในหลายด้าน พร้อมกับการประกาศเพิ่ม CAPEX ใน AI/Cloud อย่างมีนัยสำคัญ Apple มียอดขายโตสูงสุดในรอบ 15 ไตรมาสและยอดขายกลับมาขยายตัวในจีน ขณะที่ Visa และ Mastercard ก็รายงานกำไรและรายได้เกินคาด สะท้อนการบริโภคที่ยังแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม Amazon แม้จะมีรายได้และกำไรเติบโตกว่าคาด แต่ธุรกิจ AWS (Cloud) โตเพียง 17% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Google Cloud (32%) และ Microsoft Azure (39%) โดยผู้บริหารชี้สาเหตุหลักมาจาก Supply ที่ไม่พอรองรับความต้องการ และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายไตรมาสกว่าจะกลับสู่สมดุล ซึ่งต่างจากไตรมาสก่อนที่เคยคาดว่า Supply จะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2025 จึงทำให้หุ้น Amazon ปรับลงแรง ด้านตลาดโดยรวมเข้าสู่ภาวะ Risk off ในวันศุกร์จากปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่ 1) ความผิดหวังที่ Powell ไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย. แม้ในแถลงการณ์จะระบุว่าเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งกรรมการเฟดสายเหยี่ยว 2 คนอย่าง Michelle Bowman และ Christopher Waller (ผู้ท้าชิงประธานเฟด) โหวตสวนให้ลดดอกเบี้ย 2) ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทรุดหนัก โดยตัวเลข Nonfarm Payroll ออกมาที่ 73K ต่ำกว่าคาด (100K) และมีการปรับทบทวน 2 เดือนก่อนหน้าลงแรงมาก โดย มิ.ย. จาก 147K เหลือ 14K และ พ.ค. จาก 125K เหลือ 19K รวมลดลง 258K ถือเป็นการปรับลดมากสุดตั้งแต่ช่วง Pandemic สะท้อนว่าตลาดแรงงานอ่อนแอมาสักระยะแล้ว จนทรัมป์สั่งปลดหัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ 3) ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย หลังทรัมป์กำหนดเส้นตายรัสเซียให้ยุติสงครามยูเครนเร็วขึ้นจาก 50 วัน เหลือราว 2 สัปดาห์ (ภายใน 8 ส.ค.) ทำให้รัสเซียตอบโต้ว่าเป็นภัยคุกคามและอาจลุกลามเป็นสงคราม ทรัมป์จึงสั่งเคลื่อนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ 2 ลำไปประจำการในพื้นที่ยุทธศาสตร์ และ 4) จีนเรียกสอบสวน Nvidia เกี่ยวกับชิป H20 โดยมีข้อกังวลเรื่อง “remote shutdown” ที่ทำให้สามารถปิดการทำงานของชิปจากระยะไกลได้ ขณะเดียวกันยังมีความกังวลเรื่อง backdoor หรือช่องโหว่ความปลอดภัยที่ซ่อนอยู่ในตัวชิป ซึ่งอาจทำให้บุคคลภายนอกหรือหน่วยงานอื่นสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือควบคุมระบบได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ เรายังคงมองว่าประเด็นสงครามการค้าซึ่งอาจมีการตอบโต้ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่ จะเป็นจุดสนใจหลัก ขณะเดียวกันควรจับตาตัวเลข ISM Services ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นรายงานสำคัญชุดแรกถัดจาก Nonfarm หากออกมาดีอาจช่วยคลายความกังวลเรื่องตัวเลขจ้างงานที่แย่ในสัปดาห์ก่อน ส่วนทางจีนมี Caixin Services PMI และตัวเลขส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์และการส่งออก สำหรับญี่ปุ่นให้ติดตามการปรับขึ้นของค่าจ้างที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น รวมถึงการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 25 bps เหลือ 4% จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% เพื่อรอดูทิศทางเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในอนาคต ขณะที่ตัวเลขส่งออกของไต้หวันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับการประเมิน Sentiment ของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้ควรจับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจร้อนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ในแง่ของผลประกอบการหุ้นเด่นสัปดาห์นี้ ได้แก่ AMD, Palantir, ON Semiconductors, SMCI, Arista, Vistra, Constellation Energy, McDonald’s, Walt Disney, Shopify, Marriott และ Airbnb ขณะที่กลุ่มเฮลธ์แคร์มี Pfizer, Eli Lilly, Novo Nordisk, Amgen และ Zoetis รวมถึงหุ้นขนาดกลางอีกจำนวนมาก เช่น Snap, MercadoLibre, Axon, Hims Hers, DoorDash, และ Datadog เป็นต้น
- เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นโลก หลังผลประกอบการ 2Q25 ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดอย่างมาก ในจำนวนบริษัทที่รายงานผลแล้ว 329 บริษัท หรือราวสองในสามของทั้งหมด มีถึง 82% ที่มีกำไรสูงกว่าคาด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8.22% (Earnings Surprise) และมีกำไรเติบโต 8.5% นำโดยกลุ่ม Financials, Communication Services และ Technology ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทใน S&P 500 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำไรใน 2Q25 ที่ถูกปรับขึ้นถึง 3.5% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ผู้บริหารยังให้ Guidance เชิงบวกในอัตราเฉลี่ย 47% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และ 10 ปีที่ 43% และ 39% ตามลำดับ สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการใน 3Q25 ด้วยเหตุนี้ ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีการปรับฐาน โดยดัชนี ACWI และ S&P 500 ได้ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดราว 3% เรามองว่าเป็นโอกาสดีในการทยอยลงทุนใน K-GSELECTU-A(A) เป็น Core Portfolio พร้อมเสริมด้วย Satellite Portfolio ระยะ 12 เดือนในธีมหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผ่านกองทุน KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services ซึ่งผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มนี้ออกมาดีมาก และจาก Guidance ของผู้บริหาร เราประเมินว่ามีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องใน 12 เดือนข้างหน้า สำหรับตราสารหนี้ แนะนำทยอยลงทุนในกองทุน UGISFX-N เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ ใกล้ระดับ 4.5% และเมื่อค่าบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง เรายังแนะนำเลือกลงทุนใน Unhedged Class เพื่อลดต้นทุน Hedge สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน แนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาทที่แข็งเกินไป โดยทยอยสะสมในกรอบ 32-33.50 บาท/ดอลลาร์ พร้อมตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งกว่า 31.50 บาท และตั้งเป้ากำไรที่ 35 บาท/ดอลลาร์
Implication
Buy lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
- KKP TECH-UH: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนในกลุ่ม Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary โดยมี Top 10 Holding เป็น Nvidia, Apple, Meta, Microsoft, Broadcom, Alphabet, Netflix, Oracle และ Palantir โดย IGM ปรับตัวลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลักๆ มาจากความกังวลด้าน Macro เป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงปลายสัปดาห์ที่ Nonfarm payrolls ออกมาอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการหุ้นในกองทุนออกมาดีมากทั้ง Microsoft, Meta Platforms และ Apple ที่มีรายได้และกำไรเติบโตมากกว่าคาด โดย Microsoft ได้แรงหนุนจาก AI ที่ทำให้ Cloud และ M365 เติบโตสูงมาก ขณะที่ Meta ใช้ AI ปรับใช้ให้การยิงโฆษณามีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้าน Apple มีรายได้เติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี รวมถึงยอดขายในจีนกลับมาเป็นบวก
- สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ติดตามการรายงานผลประกอบการของ Palantir, AMD, Shopify และ Arista เราแนะนำซื้อ โดยเฉพาะเมื่อ IGM (ETF) มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
- K-JP-A(D) : กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังทรงตัวที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ตามคาด แม้จะมีการปรับเงินเฟ้อขึ้นเล็กน้อย แต่ภาพรวมธนาคารยังคงส่งสัญญาณระมัดระวัง และผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ จากความเสี่ยงเรื่องการเมืองภายในประเทศ และผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ถึงแม้จะบรรลุดีลการค้าได้แล้วก็ตาม นอกจากนี้ผลประกอบการของหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง Sumitomo Mitsui และ Mizuho ออกมาดีเกินคาด รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโตมากกว่าคาด อีกทั้ง Mizuho มีมุมมองที่ดีขึ้นโดยการปรับเป้ากำไรสุทธิปีนี้ขึ้นราว 9%
- สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการรายงานค่าจ้าง ผลประกอบการของธนาคารใหญ่อันดับหนึ่ง MUFG รวมถึง Toyota Motor และ Sony เรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
- KT-CHINA-A: กองทุนหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Blackrock BGF China Fund ซึ่งลงทุนหุ้นจีน All China โดยปัจจุบันเน้นการลงทุนใน H-Shares ราว 60% และ A-Shares ราว 20% โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงทั้งสองดัชนี CSI 300 และ HSCEI หลังตัวเลข PMI ภาคการผลิตทั้งของ NBS และ Caixin ออกมาต่ำกว่าคาดและอ่อนแอ รวมถึงการปรับตัวลงของหุ้นในกลุ่มยานยนต์จากความกังวลการแข่งขันที่รุนแรง ความผิดหวังต่อการประชุมโปลิตบูโรที่ไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมที่มีรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ตลาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ภายหลัง สามบริษัทยักษ์ใหญ่ Meituan, Alibaba และ JD ประกาศยุติสงครามราคาส่งอาหาร (Food Delivery Price War) หลังรัฐบาลจีนเรียกเตือนเรื่องการแข่งขันที่ไร้ระเบียบและเสี่ยงบีบกำไรผู้ประกอบการจนเกินไป
- สำหรับจีน สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลข Caixin Services และตัวเลขการส่งออก เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับกรอบการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า โดยให้ทยอยลงทุนเมื่อดัชนี MSCI China ย่อตัวลง
Satellite port (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
- ONE-FFI : กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 5 เดือน 26 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 4.06% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
- เราแนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.50/USD
Holding lists
Satellite port (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
- TUSFIN-A : กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ที่แล้ว หลังตัวเลขตลาดแรงงานอ่อนแอมากกว่าที่คาด ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวล Recession fear อีกครั้ง อย่างไรก็ตามผลประกอบการของหุ้นสำคัญในกลุ่มนี้อย่าง Visa และ Mastercard ต่างออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ถึงแม้ยอดการใช้จ่าย และการชำระเงินข้ามพรมแดนยังต่ำกว่าคาด และชะลอตัวลง แต่บริษัทได้แรงหนุนจากธุรกิจบริการเสริม เช่น โซลูชั่นด้าน Cybersecurity, การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรม, โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินผ่าน Stablecoin ซึ่งล้วนมีการเติบโตและมี Margin ที่สูง ด้าน Mastercard ปรับเพิ่มการเติบโตของรายได้จาก “low teens” เป็น “high end of mid-teens” สะท้อนความมั่นใจว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคยังแข็งแกร่ง
- เราแนะนำ Let profit run และให้ติดตามตัวเลข ISM Services ที่อาจช่วยชะลอความกังวลจาก Nonfarm payroll ในสัปดาห์ที่แล้ว รวมถึงการตอบสนองของตลาดต่อผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีของหุ้น Berkshire Hathaway

เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต