KS: 6 กองทุนแนะนำจาก KS ประจำเดือนพฤศจิกายน
Core Portfolio
1. K-GSELECTU-A(A)
กองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF
นโยบายการลงทุน
ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เน้นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในวัฏจักรที่เป็นหุ้น Growth หรือ Value โดยไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ควรลงทุนเมื่อไร
ตามสถิติ เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนผลตอบแทนของตลาดหุ้นมีความโดดเด่นมากที่สุด โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.14% และทำบวกได้ถึง 9 ใน 10 ปี (Win rate 90%) เรามอง พ.ย. ปีนี้ตลาดหุ้นจะทำได้ดีสอดคล้องกับสถิติที่ผ่านมา จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในโหมด Goldilocks เฟดลดดอกเบี้ย ความตึงเครียดทางการค้ามีแนวโน้มผ่อนคลาย ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน สหรัฐฯ 3Q25 ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน โดย 82% ของบริษัทที่รายงานแล้วมีกำไรสูงกว่าคาด การเติบโตของกำไรอยู่ที่ 10% ซึ่งมากกว่าตลาดคาด 4.8% เราแนะนำซื้อเมื่อตลาดย่อตัวลงจากความกังวลปัจจัยมหภาค (Macro concern)
2. UGISFX-N
กองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund
นโยบายการลงทุน
กระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั่วโลกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับสร้างผลตอบแทนรวมในระยะยาว โดยมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด โดยไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ควรลงทุนเมื่อไร
จากการส่งสัญญาณที่เข้มงวดของเฟด เนื่องจากไม่มีข้อมูลในการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในภาวะ Government shutdown ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวขึ้น แต่เราคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลง จึงแนะนำใช้จังหวะที่ 10Y UST ปรับตัวขึ้นในการเข้าลงทุน โดยเรามองกรอบที่เหมาะสมอยู่ที่ 4.00-4.25% และด้วยค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในระดับแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน เราจึงแนะนำลงทุนโดยไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged)
Satellite Portfolio (6-12M)
3. KKP TECH-UH
กองทุนหลัก iShares Expanded Tech ETF (IGM)
นโยบายการลงทุน
เน้นลงทุนในกลุ่ม Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary ประกอบด้วยหุ้น 280 ตัว โดยไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ควรลงทุนเมื่อไร
จากผลประกอบการหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีกำไรเติบโต 24% ดีกว่าคาด 8% ซึ่งออกมาแข็งแกร่งมากทั้ง supply chain โดยเฉพาะกลุ่ม Memory ที่มีความต้องการสูงขึ้นมากจากความต้องการหน่วยความจำขั้นสูงสำหรับงานใน Data center ขณะที่ผลประกอบการของ Hyperscalers ทั้ง 4 อย่าง Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta ภาพรวมออกมาดีมาก โดยที่รายได้ และกำไรในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI มีอัตราการเติบโตที่สูง อีกทั้งยังประกาศเพิ่มงบลงทุนอย่างมากในปี 2026 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้กับกลุ่ม Semiconductors และ Semiconductor equipment ให้มีผลประกอบการที่โดดเด่น
เราแนะนำซื้อเมื่อตลาดย่อตัวลงจากความกังวลปัจจัยมหภาค (Macro concern)
4. K-JP-A(D)
กองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic Equity Fund
นโยบายการลงทุน
ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นที่มีศักยภาพเพียง 20-30 หลักทรัพย์ ในหุ้นทุกขนาด โดยเน้นหนักไปทางหุ้นขนาดใหญ่ และมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน
ควรลงทุนเมื่อไร
จากธีมระยะยาว “Deflation to Inflation; De-rating to Re-rating” เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนค่าจ้างเติบโต การบริโภคเร่งตัว จากออมเงินเป็นลงทุน, ระดับ Valuation ที่ยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบหุ้นโลกไม่รวมสหรัฐฯ แต่ผลประกอบการโดดเด่นกว่า อีกทั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ Sanae Takaichi มีนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และยังสนับสนุนการเติบโตในระยะสั้น จะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดกระบวนการ Re-rating PER ได้เร็วมากยิ่งขึ้น
5. MINDIA
กองทุนหลัก Jupiter India Select Fund
นโยบายการลงทุน
ลงทุนในหุ้นอินเดีย โดยเน้นลงทุนแบบ Bottom-up ในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในราคาที่เหมาะสม จำนวน 60-80 บริษัท โดยกระจายการลงทุนในหุ้นทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก โดยป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน
ควรลงทุนเมื่อไร
จากเศรษฐกิจอินเดียที่แข็งแกร่ง แม้มีปัจจัยกดดันจากภายนอก ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คงดอกเบี้ยแต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP FY26 ขึ้นจาก 6.5% เป็น 6.8% และปรับลดเงินเฟ้อลงจาก 3.1% เป็น 2.6% เปิดทางมีพื้นที่ลดดอกเบี้ยในอนาคต คาดผลประกอบการบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบนี้ที่ 5.5% เต็มทั้งไตรมาส และนโยบาย GST ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ การปรับประมาณการกำไรที่เริ่มน่าสนใจ และคาดว่าในปีหน้าตลาดหุ้นอินเดียจะกลับมาโดดเด่น
Satellite Portfolio (3-6M)
6. ONE-FFI
นโยบายการลงทุน
กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น โดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 20 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.65% ต่อปี โดยไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ควรลงทุนเมื่อไร
แนะนำลงทุนเมื่อ USD/THB อยู่ในกรอบ 32 – 33.50 ซึ่งเรามองว่าเป็นกรอบค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD
*เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการหาโอกาสลงทุนในระยะสั้นและสามารถตัดขาดทุนได้

Source: KS Research, KS Mutual Fund data as of 4 November 2025
เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND
ภาษาไทย
English