ผลกระทบจากความไม่สงบในเมียนมา

รัฐบาลเงาของเมียนมาเรียกร้องการปฏิวัติล้มรัฐบาลทหาร

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 ก.ย.) รัฐบาลเงาของเมียนมาหรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ก่อตั้งโดยกลุ่มนักการเมืองที่ถูกขับไล่โดยกลุ่มรัฐประหาร และมีจุดยืนที่ต่อต้านการยึดครองอำนาจของรัฐบาลทหาร ได้ปลุกระดมมวลชนทั่วประเทศให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร เรามองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการก้าวเข้าใกล้สู่สภาวะสงครามกลางเมืองขึ้นอีกก้าว หลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ได้จุดชนวนการลุกฮือของมวลชนทั่วประเทศ ที่นำไปสู่การนัดหยุดงานและอารยะขัดขืนของพลเมือง หลังจากการประกาศของ NUG เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สื่อในประเทศได้รายงานเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายบริเวณพื้นที่ชายแดน อิงข้อมูลจาก The Guardian แต่บรรยากาศตามท้องถนนในเมืองใหญ่ ๆ ของเมียนมาอย่างย่างกุ้งยังคงไม่รุนแรง แต่มีเจ้าหน้าที่ทหารลงพื้นที่มากขึ้น ขณะที่ผู้อยู่อาศัยตามท้องถิ่นต่างเร่งกักตุนสินค้ากันเป็นจำนวนมาก การประกาศของ NUG ถือว่ามาก่อนการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 14 ก.ย. ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินว่าผู้แทนจากเมียนมาฝ่ายใดระหว่างสมาชิกจากรัฐบาลทหารหรือตัวแทนจาก NUG จะมีสิทธิ์ในการนั่งใน UN โดยผลลัพธ์ที่อาจออกมาคือการที่ UNGA เลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน เพราะจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของรัฐบาลทหาร อาจคัดค้านคำแนะนำของคณะกรรมการที่จะทำการตัดสินที่เป็นประโยชน์ต่อ NUG ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าพัฒนาการในเมียนมาจะไม่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขนานใหญ่อีกครั้ง เพราะกำลังกองทัพของรัฐบาลเงายังไม่สามารถทัดเทียมกับรัฐบาลทหารได้ ขณะที่เรามองว่ากรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือการเกิดสงครามกลางเมือง

การส่งออกของไทยไปเมียนมาโต 7.2% YoY ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564

มูลค่าการค้าทั้งหมดระหว่างไทยและเมียนมาอยู่ที่ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 ด้วยมูลค่าการส่งออกจากไทยไปเมียนมาที่ 3.8 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 1.6% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยในปี 2563 แม้ World Bank จะประเมินว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวลง 18% ในปี 2564 (ปีงบประมาณสิ้นสุดลงในเดือน ก.ย.) จากแรงกดดันของการทำรัฐประหารและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการที่สกุลเงินจัต/ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง 24% YTD แต่กลับพบว่าการส่งออกของไทยไปยังเมียนมายังโตขึ้น 7.2% YoY มาอยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 ส่วนในด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบพื้นฐานนั้นก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในกรอบเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่สะสมมา (pent-up demand) ตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. และฐานที่ต่ำในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 ทั้งนี้ การที่สถานการณ์โควิด-19 ในเมียนมาปรับดีขึ้น ด้วยยอดยืนยันผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 3,000 เคส เทียบกับจุดสูงสุดที่ 5,831 เคส เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2564 กอปรกับสถานการณ์ในเมียนมาเองที่ไม่ได้รุนแรงขึ้นจนเกิดเหตุวุ่นวายในวงกว้าง เราจึงคาดว่าการส่งออกของไทยไปยังเมียนมาจะโตขึ้น YoY ในช่วงที่เหลือของปี 2564 ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวจากโควิดระลอก 3 และฐานที่ต่ำจากปีก่อน

ผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยที่เราวิเคราะห์อยู่และมีสัดส่วนกิจการในเมียนมาสูง

MEGA OSP PTTEP CBG และ THG มีสัดส่วนกำไรและขาดทุนในเมียนมาอยู่ 40%/15%/12%/10%/7% โดยนักวิเคราะห์ของเรามองว่าการกักตุนสินค้าจะเป็นประโยชน์กับ MEGA ในระยะสั้นเพราะจำหน่ายสินค้าจำพวกยาและมีการบริโภคเป็นรายวัน ขณะที่คาดว่าอุปสงค์ต่อเครื่องดื่มชูกำลัง (OSP และ CBG) อาจชะลอตัวลงในไตรมาส 3/2564 จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและเป็นช่วง low season ทางด้านนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของเราประเมินว่าผลประกอบการของ PTTEP จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า 3% จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยืดเยื้อและสถานการณ์โควิด-19 ในเมียนมาที่ดำรงอยู่ ขณะที่ รพ. ร่วมทุน (JV) ของ THG อย่าง ArYu ที่ตั้งอยู่ในย่างกุ้งนั้นคาดว่าจะมีจำนวนคนไข้มากขึ้น เพราะบรรดาผู้มีรายได้สูงในเมียนมาไม่สามารถเดินทางไปรับการรักษาในต่างประเทศได้ นักวิเคราะห์ของเราคาดว่า รพ. ArYu จะคุ้มทุนในปี 2564 และพลิกมาทำกำไรได้ในปี 2565
เปิดพอร์ตลงทุน >> https://bit.ly/3eC98sz

KS #KSecurities #Strategy #Myanmar # MEGA #OSP #PTTEP #CBG #THG

Follow us :
LINE : http://bit.ly/KSLINEOA
Facebook: http://bit.ly/2XwGoaa
Instagram: http://bit.ly/332OqIT
Twitter: http://bit.ly/344OVng
YouTube: http://bit.ly/2QAdiFp