KS: KS FUND TOP PICK 27 - 31 ต.ค. 2025
Peak week !! จับตาเมกะเทคประกาศงบ Trade war จ่อเส้นตาย ประชุมเฟดท่ามกลาง Gov shutdown
- ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (all time high) โดยการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความผันผวนท่ามกลางความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปมาตลอดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีเส้นเรื่องหลัก คือการพบกันของทรัมป์ และสี จิ้นผิง ในช่วงปลายเดือน ต.ค. ซึ่งจะมี 4 ประเด็นสำคัญอยู่บนโต๊ะเจรจา ได้แก่
1) สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้จีนใช้ Rare Earth เป็นเครื่องมือทางการเมือง
2) เรียกร้องให้จีนยุติการส่งออกเฟนทานิล
3) ต้องการให้จีนกลับมานำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ
4) อาจมีการหยิบยกประเด็นไต้หวันขึ้นมาเจรจาด้วยในครั้งนี้
นอกจากนี้ตลาดยังตอบสนองต่อเส้นเรื่องรองที่เข้ามาระหว่างทาง เช่น การที่ทรัมป์กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้พบกับสี จิ้นผิง สร้างความกังวลให้กับตลาด แต่ภายหลังทีม USTR ได้ยืนยันการประชุม Trump-Xi ยังเป็นไปตามกำหนดการ, การที่สหรัฐฯ พิจารณาจำกัดการส่งออกสินค้าที่ผลิตโดยใช้ซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ไปจีน และการที่ทรัมป์ขู่ว่าภาษีนำเข้าสามารถเปลี่ยนเส้นตายจาก 10 พ.ย. มาเป็น 1 พ.ย. ได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายสัปดาห์ ตลาดลดความกังวลลง หลัง Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ, Jamieson Greer ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ และ He Lifeng รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้เริ่มเจรจาการค้ารอบที่ 5 ที่มาเลเซีย (24 – 27 ต.ค.) โดยจะใช้เวทีนี้เพื่อปูทางหลักการสำหรับการพบกันระหว่างทรัมป์ และสี จิ้นผิง ในการประชุม APEC วันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่รายงานออกมาต่ำกว่าคาดโดยที่ Core CPI ชะลอตัวลงเป็นเดือนแรกในรอบ 4 เดือน อีกทั้งยังไม่เห็นการขึ้นของราคาอาหารและสินค้าจาก tariffs
- โดยภาพรวมตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทุกดัชนี นำโดยตลาดหุ้นเอเชียเหนืออย่างเกาหลีใต้ Kospi +5.14% ที่ได้แรงหนุนจากความคาดหวังการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ ในวันที่ 29 ต.ค. เพื่อลดภาษีนำเข้าจาก 25% เหลือ 15% และการปรับตัวขึ้นของ SK Hynix หลังจากเจ้าตัวและ Samsung เตรียมปรับขึ้นราคา DRAM และ NAND ราว 30% ใน 4Q25 รับ Memory Chip Supercycle ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei +3.61% และ Topix +3.12% ขานรับรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ Sanae Takaichi ที่มีแนวทาง pro-growth และเน้นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่าง AI ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี, ตลาดหุ้นจีน CSI300 +3.24% และ HSCEI +3.91% ที่ตอบรับสงครามการค้าที่ผ่านคลายลง, หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ปรับตัวขึ้นจากการประชุม Fourth plenum ที่ทางการเน้นการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยี และหุ้นในกลุ่ม Apple supplier ที่ขึ้นแรง หลังยอดขาย iPhone 17 ในจีนออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx 600 +1.68% หนุนโดยกลุ่ม Industrial และ Energy จากน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย. ที่มีความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ได้แก่ Rosneft PJSC และ Lukoil PJSC เพื่อตัดแหล่งรายได้ที่ใช้สนับสนุนสงครามยูเครน หลังการประชุม Trump–Putin ถูกเลื่อนออกไปเพราะรัสเซียปฏิเสธเงื่อนไขหยุดยิง และสหภาพยุโรป (EU) ประกาศมาตรการคว่ำบาตร ห้ามนำเข้า LNG จากรัสเซียตั้งแต่ปี 2027
- ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทั้ง 4 ดัชนี Dow Jones +2.20%, S&P 500 +1.92%, Nasdaq Composite +2.31% และ Russell 2000 +2.50% โดยสามดัชนีแรกขึ้นทำ all time high โดย Dow Jones ปิดเหนือ 47,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ S&P 500 ขึ้นเหนือ 6,800 ในช่วงระหว่างการซื้อขายในวันศุกร์ แรงหนุนมาจากหุ้นในกลุ่ม Technology โดยเฉพาะ Semiconductors และ Semiconductor equipment ภายหลังจากที่ Lam Research และ BE Semiconductor รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด และทั้งคู่เห็นตรงกันว่าดีมานด์ advanced packaging, AI, และ HBM กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังได้หุ้นกลุ่ม Energy ที่ขึ้นแรงตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงกลุ่ม Industrials, Consumer Discretionary, Healthcare และ Financials จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดมาก โดยบริษัทที่รายงานผลประกอบการมาแล้ว 145 บริษัท (29% ของทั้งหมด) ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมี Earnings Surprise ทั้งสิ้น ยกเว้น Communication services ที่กำไรต่ำกว่าคาดจาก Netflix ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ (one-off)
- ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญมีทั้งมหภาคและจุลภาค และจะเป็นตัวกำหนดภาพรวมการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีจนถึงกลางเดือน ม.ค. 2026 (ช่วงรายงานงบ 4Q25) โดยที่ปัจจัยมหภาคให้ติดตามพัฒนาการของสงครามการค้า ที่ล่าสุดมีสัญญาณเชิงบวกหลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุกรอบข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างการเจรจาที่มาเลเซีย ว่าด้วยเรื่องการต่ออายุสงบศึกทางการค้า (tariff truce) ที่จะสิ้นสุดลงวันที่ 10 พ.ย., การปรับสมดุลการค้าในสินค้าเกษตรโดยเฉพาะถั่วเหลือง, การร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเฟนทานิล, ค่าธรรมเนียมท่าเรือ (port fee), การควบคุมการส่งออก Rare Earth และ TikTok ซึ่งเตรียมส่งต่อให้ทรัมป์ และสี จิ้นผิง ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการพบกันในวันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. ภายหลังจากที่ทรัมป์ได้พบนายกฯ ญี่ปุ่น และจักรพรรดิในวันที่ 27-29 ต.ค. และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในวันที่ 29 ต.ค.
นอกจากนี้ยังเป็น Week of Central Bank ที่มีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25 bps, ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่คาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่คาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% รวมถึงให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง GDP 3Q25 ของยูโรโซน และ GDP 3Q25 ของสหรัฐฯ และ Core PCE หากภาวะ Government Shutdown คลี่คลาย ส่วนปัจจัยมหภาคที่เหลือให้ติดตามตัวเลข NBS PMI ของจีน และอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น
และปัจจัยที่เรามองว่าสำคัญที่สุดคือผลประกอบการ หุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ หุ้นเทคฯ Microsoft, Meta Platforms, Google, Amazon, Apple, KLAC, Cadence Design และ Key Note จาก Jensen Huang (CEO Nvidia) ที่งาน AI Conference & Expo หุ้น U.S. Non-tech Visa, Mastercard, Eli Lilly, UnitedHealth, Starbucks, Booking, NextEra Energy, Caterpillar, Boeing, MercadoLibre และ Chipotle หุ้นยุโรป Deutsche Bank, UBS, BNP Paribas, HSBC, Iberdrola, Santander, Mercedes และ Volkswagen หุ้นญี่ปุ่น Advantest, Tokyo Electron, Disco และ Screen Holding หุ้นไต้หวัน ASE Technology และ MediaTek หุ้นเกาหลีใต้ SK Hynix และ Samsung Electronics, หุ้นจีน Kweichow Moutai, BYD และ Li Auto
- เราประเมินตลาดหุ้นโลกจะยังผันผวนสูงทั้งสัปดาห์จากหลากหลาย Event ทั้งสงครามการค้า การประชุมธนาคารกลาง และผลประกอบการของหุ้นสำคัญในแต่ละดัชนี โดยจากผลประกอบการของหุ้นใน S&P 500 ที่ออกมาแล้ว 29% มีจำนวนบริษัทที่มีกำไรมากกว่าคาด (Beat rate) 86% และมีกำไรเติบโต 15% มากกว่าที่ตลาดคาด 7.7% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่กำไรโต 54% มากกว่าตลาดคาด 9% รวมถึงกลุ่มอื่นอย่าง Financials, Industrials, Materials ต่างมีกำไรเติบโต 24.6%, 9.4% และ 29% และมี Earnings Surprise ที่ 9.2%, 7.9% และ 19.3% ตามลำดับ สะท้อนภาพผลประกอบการที่ดีขึ้นแบบกระจายตัว เราจึงคง playbook เดิม โดยยึดผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นตัวตั้ง และให้ทยอยลงทุนในช่วงที่มี Macro concern ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้
เราคงคำแนะนำลงทุนใน K-GSELECTU-A(A) สำหรับ Core Portfolio และ KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services สำหรับ Satellite Portfolio 12 เดือน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและปรับฐานจากปัจจัยมหภาค รวมถึงคงแนะนำลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นผ่านกองทุน K-JP-A(D) รับแรงหนุนจากการได้ Takaichi เป็นนายกฯ ที่มาพร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายด้านการคลัง
ด้านตราสารหนี้ ในส่วนของกองทุน UGISFX-N เราแนะนำให้รอจังหวะที่ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ระดับ 4.20% ก่อนจึงค่อยกลับเข้าลงทุน และกองทุน ONE-FFI ที่เป็น Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน สำหรับเก็งกำไรจากค่าบาท เราแนะนำทยอยสะสมเมื่อค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 32-33 บาท/ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายในการทำกำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ และกำหนดจุดตัดขาดทุนเมื่อเงินบาทแข็งค่ากว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์
𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
- 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวขึ้น 2.61% จากผลประกอบการของ Lam Research และ BESI สะท้อนภาพความต้องการ Semiconductor equipment ที่แข็งแกร่ง และแรงหนุนจาก Apple +4.2% หลังมีรายงานยอดขาย iPhone 17 ใน 10 วันแรกในสหรัฐฯ และจีน สูงกว่า iPhone 16 ถึง 14% รวมถึง Google +2.6% หลัง Anthropic ทำสัญญาใช้ TPU (ชิป ASIC ของ Google) เพิ่มอีกหลักล้านตัว และการเปิดตัวอัลกอริทึมควอนตัมตัวใหม่ชื่อ Quantum Echoes ถึงแม้ Netflix จะปรับตัวลง -8.7% ฉุดภาพรวมของ ETF ก็ตาม
- สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ติดตามผลประกอบการของ Microsoft, Meta Platforms, Google, Amazon, Apple, KLAC และ Cadence Design และ Key Note จาก Jensen Huang (CEO Nvidia) ที่งาน AI Conference & Expo เราคงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) ในจังหวะที่มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า
- 𝐊-𝐉𝐏-𝐀(𝐃): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยดัชนี Topix +3.12% ขานรับรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ Sanae Takaichi ที่มีแนวทาง pro-growth และเน้นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่าง AI ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังได้การขึ้นของกลุ่ม Semiconductors ตาม Global supply chain
- สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการพบกันระหว่างทรัมป์ และทาคาอิจิ ที่เตรียมลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูง, การประชุม BOJ และผลประกอบการของ Advantest และ Tokyo Electron โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
- 𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 27 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.83% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
- เราปรับคำแนะนำให้กลับมาเข้าลงทุนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับเข้ามาในกรอบ 32 – 33/USD โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35/USD และจุดตัดขาดทุนที่ 31.5/USD
𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)
- 𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น +1.78% จากความกังวลของหนี้เสีย และกรณีฉ้อโกงที่ผ่อนคลายลง หลังหุ้นที่เกี่ยวข้องรายงานผลประกอบการออกมาดี หนุนให้กลุ่ม Regional Bank กลับมารีบาวด์ขึ้น อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด หนุนแบงค์ใหญ่ขึ้นแรงในวันศุกร์ โดยที่ BofA และ MS ขึ้นทำ all time high
- เราแนะนำให้ Let profit run โดยสัปดาห์นี้ให้ติดตามการประชุม FOMC
เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
Follow us :
LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต
 ภาษาไทย
                            ภาษาไทย
                         English
                            English
                         
            
         
         
                             
                                                            .jpg) 
                                                            .jpg) 
                                                            .jpg) 
                                                            .jpg) 
                                                            