KS: KS FUND TOP PICK 15 - 19 ธ.ค. 2025
📌 Fed หนุนภาพ Goldilocks GDP โตเร่ง เงินเฟ้อใกล้พีค
Buy on dip หุ้นเทคฯ งบพลาดเป้าจาก Supply ตามไม่ทัน แต่ Demand ยังแกร่ง
💡 𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈 (Satellite port 3–6 เดือน) ให้ Wait & see โดยหากค่าเงินบาทแข็งค่าหลุด 31.50 บาท/ดอลลาร์ แนะนำให้ Stop loss
✅สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ปรับตัวลงเล็กน้อย แม้จะขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (all-time high) ได้ในระหว่างสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากการประชุม FOMC ที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ตามที่ตลาดคาด พร้อมส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในปี 2026 เพียง 25 bps ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาด แต่ด้วยโทนโดยรวมของการประชุมออกมา “ผ่อนคลายกว่าที่ตัวเลข Dot Plot สะท้อน” โดยเฟดย้ำชัดว่าการขึ้นดอกเบี้ย ไม่ใช่ base case ของการประชุมถัดไป ขณะเดียวกันยังยอมรับว่าความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานเริ่มเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดตีความว่าทิศทางนโยบายการเงินยังเป็นการลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป (gradual easing) มากกว่าการกลับไปคุมเข้มอีกครั้ง นอกจากนี้เฟดยังปรับเพิ่มประมาณการ GDP ในปี 2026 จาก 1.5% เป็น 2.0% พร้อมปรับเพิ่ม Lower bound ของ GDP ปี 2026 ขึ้นจาก 1.5% เป็น 2.0% จากแรงหนุนการลงทุนในด้าน AI พร้อมกันนั้นยังปรับลด Core PCE ปี 2026 ลงจาก 2.6% เป็น 2.5% และส่งสัญญาณว่าแรงกดดันเงินเฟ้อฝั่งสินค้ามีโอกาสทำจุดสูงสุด (peak) ในช่วง 1Q26 ก่อนค่อยๆ ชะลอลงใน 2H26 ภาพรวมนี้สะท้อนภาวะ Goldilocks ที่ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจและภาคการเงิน อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการที่เฟดประกาศกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (T-bills) วงเงิน $40 bn ต่อเดือน เพื่อเติมสภาพคล่อง หลังจากระบบการเงินตึงตัวในช่วงก่อนหน้า ซึ่งถูกมองว่าเป็นลักษณะของ Mini QE และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ACWI มาปรับตัวลงแรงในวันศุกร์จากแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคฯ จากผลประกอบการของ Oracle ที่รายได้ต่ำกว่าคาด และ Broadcom ที่รายได้จาก OpenAI จะเข้ามาในปี 2027-2029 แต่ตลาดคาดหวังจะเห็นในปี 2026
✅ ด้านตลาดหุ้นโดยภาพรวมตอบรับเชิงบวกจากผลการประชุม FOMC ภายหลังจากยืน sideways ในช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นนำโดย Russell 2000 (+1.19%) และ Dow Jones (+1.05%) ขึ้นทำ all-time high สะท้อนการ outperform ของหุ้นขนาดเล็ก และกลุ่ม Cyclical ขณะเดียวกัน S&P 500 (-0.63%) แม้จะขึ้นเหนือ 6,900 จุดได้เป็นครั้งแรกในระหว่างสัปดาห์ ด้าน Nasdaq Composite (-1.62%) จากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ จากผลประกอบการของ Oracle (-12.67%) ที่รายได้ต่ำกว่าคาด สะท้อนความล่าช้าของการเปลี่ยน RPO (Remaining Performance Obligations หรือ Backlog) ให้มาเป็นรายได้, Netflix (-5.03%) จากการเสนอซื้อ Studio ของ Warner Bros. ที่มูลค่ามหาศาล ($82 bn) และ Broadcom (-7.77%) จากความไม่ชัดเจนของรายได้ในส่วน AI หลังจากผู้บริหารชี้ว่ารายได้จาก OpenAI จะยังไม่เข้ามาในปี 2026 ด้านตลาดหุ้นเอเชียเหนืออย่างญี่ปุ่น (Topix +1.82%), ไต้หวัน (TWSE +0.78%) และเกาหลีใต้ (Kospi +1.64%) ต่างปรับตัวขึ้นรับอานิสงค์จากการประชุม FOMC ขณะที่ตลาดหุ้นจีนทั้ง CSI 300 (-0.08%) และ HSCEI (-1.29%) ปรับตัวลง จากการที่เม็กซิโกอนุมัติภาษีนำเข้าสูงสุด 50% ต่อสินค้าจากเอเชีย โดยเฉพาะจีน และความผิดหวังจากการประชุม Politburo และ Central Economic Work Conference (CEWC) ที่จะยังเน้นนโยบายกระตุ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น อสังหาฯ และการบริโภคภายในประเทศ ไม่ใช่แนวทาง “Bazooka” ตามที่ตลาดคาดหวัง นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของจีนยังถูกกดดันหลังสหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออก H200 ไปจีน ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty 50 -0.53%) ยังคงผันผวนที่ระดับ record high หลังค่าเงินรูปีทำสถิติอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ (USD) ภายหลัง RBI ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
✅ ในสัปดาห์นี้ เราประเมินว่าตลาดจะยังแกว่งตัวผันผวนตามปัจจัยมหภาคที่จะมาชี้นำตลาดถึงมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างการจ้างงาน (Nonfarm Payrolls) เดือน ต.ค. และ พ.ย., อัตราการว่างงานเดือน พ.ย. และอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย. ที่กลับมารายงานครั้งแรกหลัง Government shutdown รวมถึงถ้อยแถลงของกรรมการเฟด ปัจจัยสำคัญอื่นๆ เรามองว่าอยู่ที่การประชุม BOJ ที่ตลาดคาดว่าอาจเห็นการขึ้นดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 0.75% ในครั้งนี้ หลังจากค่าเงินเยนอ่อนค่ามากเกินไป ซึ่งกดดันให้ราคานำเข้าพลังงานสูงขึ้น จนอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นได้ ขณะที่ด้านดีมานด์มีความพร้อมมากขึ้น จากแนวโน้มการขึ้นค่าจ้างในปีหน้าที่ระดับ 5% และผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าคาด และการประชุม ECB ที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยและ BOE ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 3.75% ด้านเศรษฐกิจจีนให้ติดตาม ราคาบ้าน, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หลังจากที่ตัวเลขเหล่านี้แสดงความอ่อนแออย่างมากในเดือนที่แล้ว และสุดท้าย ให้ติดตามผลประกอบการของหุ้น Memory player สำคัญอย่าง Micron Technology
✅ จากพัฒนาการของ FOMC ที่ออกมาดี ในแง่ของการปรับ Growth ขึ้น, ปรับเงินเฟ้อลง และมีการอัดสภาพคล่อง ทำให้เรายังคงมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้น พร้อมแนะนำให้หุ้นโลก (KKP GNP) เป็น Core Equity Portfolio ในจังหวะที่ตลาดมีการย่อตัวลงและตราสารหนี้โลก (K-GDBOND-UH) เป็น Core Fixed Income Portfolio เมื่อ 10Y UST ปรับตัวเข้าใกล้ 4.20% สำหรับ Satellite Portfolio 12 เดือน แนะนำลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ (KKP TECH-UH) ถึงแม้ผลประกอบการของ Oracle จะต่ำกว่าคาด แต่เรามองเป็นการ Delay จาก Supply มากกว่าความอ่อนแอของ Demand ขณะที่งบของ Broadcom สะท้อนถึงความต้องการใน AI ที่สูงทั้ง XPU (Custom-chip) และ Networking พร้อมคาดรายได้จาก AI จะโต 100% ในไตรมาสหน้า แม้รายได้จาก OpenAI จะยังไม่เข้ามาในปี 2026 จนทำให้หุ้นปรับตัวลงแรงก็ตาม, หุ้นญี่ปุ่น (ASP-NGF) จากการที่ตลาดแสดงอาการไม่กลัว BOJ ขึ้นดอกเบี้ย แต่กลับมองว่า BOJ ขึ้นดอกเบี้ยได้ เพราะเศรษฐกิจมีความพร้อม, หุ้นอินเดีย (MINDIA) จากผลประกอบการผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วและ GDP ที่โตถึง 8.2% และหุ้นเกาหลีใต้ (SCBKEQTG) จากภาวะ Memory super cycle หนุนให้ Samsung และ SK Hynix จะมีผลประกอบการที่ดีมากในปี 2026 สำหรับกองทุน ONE-FFI ที่เราวางไว้เป็น Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาท จากปัจจุบันที่ค่าเงินบาทหลุดกรอบสะสมที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์ เราจึงแนะนำให้ Wait & See และให้ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งค่าต่ำกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์
💡 𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧
1️⃣ 𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6-12 เดือน)
✅ 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ลงทุนผ่าน iShares Expanded Tech (IGM) โดยสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวขึ้น -2.52% จากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ จากผลประกอบการของ Oracle (-12.67%) ที่รายได้ต่ำกว่าคาด สะท้อนความล่าช้าของการเปลี่ยน RPO มาเป็นรายได้, Netflix (-5.03%) จากการเสนอซื้อ Studio ของ Warner Bros. ที่มูลค่ามหาศาล ($82 bn) และ Broadcom (-7.77%) จากความไม่ชัดเจนของรายได้ในส่วน AI หลังจากผู้บริหารชี้ว่ารายได้จาก OpenAI จะยังไม่เข้ามาในปี 2026
✅คงคำแนะนำซื้อ IGM (ETF) สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า หลังจากมีการปรับตัวลง จาก Supply constraints ที่ทำให้งบของหุ้นในกลุ่มโตไม่แรงตามที่ตลาดคาดหวัง ไม่ได้เกิดจาก Demand ขณะที่ส่งออกไต้หวันเดือน พ.ย. ยังโต 56% YoY (15-years high) ประกอบกับรายได้ของ TSMC ในเดือน พ.ย. โต 24.5% YoY โดย 2 เดือนใน 4Q25 ทำได้แล้วราว 71% ของเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ และติดตามผลประกอบการของ Micron Technology
✅𝐀𝐒𝐏-𝐍𝐆𝐅: กองทุนหุ้นญี่ปุ่น ลงทุนผ่าน Eric Sturdza Nippon Growth โดยสัปดาห์ที่แล้วดัชนี Topix +1.82% ขึ้นทำ all-time high โดยเป็นการขึ้นแบบกระจายตัว รับ Narrative ที่เศรษฐกิจมีความพร้อม จึงทำให้ BOJ สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้
✅คงคำแนะนำซื้อเมื่อ Topix มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า และให้ติดตามการประชุม BOJ, ตัวเลขส่งออก และผลสำรวจภาคธุรกิจ (Tankan)
✅𝐌𝐈𝐍𝐃𝐈𝐀: กองทุนหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่าน Jupiter India Select Fund โดยสัปดาห์ที่แล้วดัชนี Nifty 50 -0.53% ทรงตัวใกล้ระดับ all-time high แม้ RBI ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps สู่ระดับ 5.25% แต่ตลาดยังกังวลค่าเงินรูปีที่ทำระดับอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ และดีลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ล่าสุดมีการคุยกันที่นิวเดลีช่วง 10-12 ธ.ค. แต่ยังไม่มีประกาศถึงความคืบหน้า
✅คงคำแนะนำซื้อเมื่อ Nifty 50 มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือนข้างหน้า และให้ติดตาม Manufacturing และ Services PMI
✅𝐒𝐂𝐁𝐊𝐄𝐐𝐓𝐆: กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ ลงทุนผ่าน iShares MSCI South Korea (EWY) โดยสัปดาห์ที่แล้วดัชนี Kospi +1.64% หนุนโดยการขึ้นของ SK Hynix (+5%) หลังบริษัทกำลังพิจารณาเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่าน ADR ที่อาจทำให้ราคาหุ้นซื้อขายด้วย Premium ที่สูงขึ้น
✅คงคำแนะนำซื้อเมื่อ Kospi มีการย่อตัวลง สำหรับกรอบการลงทุน 12 เดือน และให้ติดตามผลประกอบการของ Micron Technology ซึ่งจะส่ง Sentiment ต่อกลุ่ม Memory
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)
✅𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 7 เดือน 20 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 3.65% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน
✅แนะนำ Wait & see หลังค่าเงินบาทหลุดกรอบสะสมที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์ และให้ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งค่าต่ำกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์
2️⃣ 𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬
𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6-12 เดือน)
✅𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่าน XLF (ETF) โดยสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวขึ้น +2.37% ทำ all-time high หลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามภาวะ Goldilocks หนุนให้หุ้นธนาคาร และบัตรเครดิตปรับตัวขึ้นแรง
✅คงคำแนะนำ Let profit run และให้ติดตามตัวเลขการจ้างงาน, เงินเฟ้อ, ยอดค้าปลีก และถ้อยแถลงกรรมการเฟด

📲เปิดพอร์ตลงทุนกองทุนรวมกับ KS ลงทุนได้หลากหลาย บลจ. >> https://ksecurities.co/Open-Account_Fund
⛳Follow us :
📲 LINE : https://ksecurities.co/KS-LineOA
📲 Facebook: https://ksecurities.co/KS-Facebook
📲 Instagram: https://ksecurities.co/KS-Instagram
📲 Twitter: https://ksecurities.co/KS-Twitter
📲 YouTube: https://ksecurities.co/KS-Youtube
📲 Threads: https://ksecurities.co/KS-Threads
#KS #KSecurities #หลักทรัพย์กสิกรไทย #กองทุน #ผลตอบแทน #หุ้นไทย #การลงทุนหลักทรัพย์ #FUND #กลยุทธ์การจัดพอร์ต
ภาษาไทย
English