Company Analysis

CHG ราคาหุ้นสะท้อนแนวโน้มกำไรที่ดีใน 3Q66 แล้ว

แนวโน้มรายได้ที่จุฬารัตน์ แม่สอด (CMS) ดีขึ้น หลังเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิ.ย. ผู้บริหารเห็นรายได้ปรับตัวดีขึ้น MoM ในไตรมาส 3/2566 อุปสงค์ในประเทศมีปัจจัยหนุนจากช่วงไฮซีซั่น ขณะที่แม้มีสถานการณ์ไม่สงบในเมียนมาร์ แต่ CHG ยังเห็นคนไข้ที่ข้ามชายแดนมาจากเมียนมาร์แม้ในอัตราที่น้อยกว่าที่คาดไว้

นอกจากนี้ CHG เปิดให้บริการศูนย์หัวใจในช่วงต้นเดือนก.ย. ซึ่งคาดจะช่วยเพิ่มจำนวนคนไข้ให้มากขึ้น ผู้บริหารมองว่า CMS จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบรายได้ของกลุ่ม CHG ในครึ่งหลังของปี 2566

เปิดให้บริการศูนย์รักษาทั้ง 4 แห่งที่ศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ (CMC) CHG เปิดให้บริการศูนย์รังสีรักษาและโรคหลอดเลือดสมองในเดือนก.ค. และศูนย์เวชศาสตร์นิวเคลียร์และออกซิเจนบำบัด (Hyperbaric Oxygen Therapy) ในเดือนก.ย. ศูนย์รังสีรักษาได้รับการตอบรับค่อนข้างดีโดยมีอัตราการใช้บริการมากกว่า 50% ของกำลังรองรับในไตรมาส 3/2566

โดยคนไข้ส่วนใหญ่คือคนไข้ประกันสังคมของ CHG ขณะที่กำลังการรองรับบริการศูนย์โรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นหลังย้ายออกจากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ส่วนศูนย์เวชศาสตร์นิวเคลียร์และออกซิเจนบำบัดอยู่ระหว่างการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์

คาดแรงกดดันจากโรงพยาบาลแห่งใหม่จะถูกชดเชยด้วยช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3/2566 เราคาดว่า CHG จะรายงานกำไรปกติที่ 320 ลบ. เพิ่มขึ้น 55% QoQ และ 5% YoY จากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น โรงพยาบาลเกือบทุกแห่งในกลุ่มมีอัตราการครองเตียงเกือบเต็มกำลังการให้บริการ โดยผู้บริหารเห็นแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้นจากทั้งบริการประกันสังคมและไม่ใช่ประกันสังคม ทั้งนี้ อุปสงค์ในประเทศมีปัจจัยหนุนจากช่วงไฮซีซั่นซึ่งมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออกสูงเป็นพิเศษ

ขณะที่รายได้คนไข้ต่างชาติทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งจำนวนคนไข้และความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น คนไข้ต่างชาติส่วนใหญ่มาจากตะวันออกกลาง (50%), เมียนมาร์ (30%) และกัมพูชา (20%) ทั้งนี้ ประมาณการของเรายังไม่รวมรายได้พิเศษจากประกันสังคม ซึ่งช่วงเวลาการจ่ายเงินจากสำนักงานประกันสังคมยังไม่แน่นอน

คงเป้าหมายการดำเนินงานปี 2566 ผู้บริหารยังคาดรายได้รวมที่ 8 พันลบ. และอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ใกล้เคียงกับระดับ 14% และเชื่อว่าผลการดำเนินไตรมาส 3/2566 ที่แข็งแกร่งจะไม่มากพอที่จะชดเชยผลการดำเนินงานในครึ่งแรก และทำให้อัตรากำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่มากกว่า 14% โดยผู้บริหารคาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะยังต่ำกว่า 30% แต่มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปีหน้า และจนถึงขณะนี้ CHG ยังไม่ได้รับเงินค่ารักษาโรคโควิดที่ค้างอยู่จาก สปสช. (543 ลบ.) ซึ่งทำให้ระยะเวลาที่จะรับรู้รายได้รับล่วงหน้า (272 ลบ.) ยังไม่แน่นอน

คงคำแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 ที่ 3.30 บาท ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น10% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนแนวโน้มกำไรที่ดีในไตรมาส 3/2566 แล้ว